- กลืนเลือดไม่ให้เสียใจPosted 2 days ago
- ระลึกถึงพ่อหลวง ร.9Posted 2 days ago
- 5 ธ.ค.วัดสวนแก้วแตกแน่Posted 3 days ago
- จะกลับมาแบบไหนPosted 4 days ago
- เลือกงานให้โดน บริหารคนให้เป็น ตาม“ลัคนาราศี”Posted 4 days ago
- ต่างศาสนา ต่างชาติพันธุ์ อยู่ร่วมกันภายใต้ความแตกต่างPosted 4 days ago
- โลภ•ลวง•หลง เกมพลิกชีวิต รีแบรนด์หรือรีบอร์นPosted 4 days ago
- กูไม่ใช่ไก่ต้มเว้ย! อย่ามาต้มกูเลย..Posted 4 days ago
- หยุดความรุนแรง-ลวงโลกPosted 5 days ago
- อ.เบียร์ช่วยวัดสวนแก้วPosted 1 week ago
ดูแลเบื้องต้นเมื่อท้องเสีย
คอลัมน์ : พบหมอศิริราช
ผู้เขียน : อ.พญ.มณฑิรา มณีรัตนะพร ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl
(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่ 10-17 มกราคม 2563)
ท้องเสียคือภาวะที่ผู้ป่วยถ่ายอุจจาระที่เหลวกว่าปกติ และถ่ายบ่อยมากกว่าวันละ 3 ครั้ง เป็นปัญหาที่พบบ่อยที่ไม่ควรมองข้าม
การดูแลตนเองเบื้องต้น ในรายผู้ใหญ่ที่ท้องเสียเฉียบพลันมักมีสาเหตุจากการรับประทานอาหารที่ไม่สะอาดหรือมีเชื้อโรคเจือปน ทำให้เกิดการติดเชื้อ หรือในบางรายการรับประทานอาหารที่มีรสจัดก็อาจทำให้เกิดอาการท้องเสียได้เช่นกัน
ถ้ามีอาการท้องเสียไม่มากแนะนำให้ถ่ายอุจจาระออกมาจนหมด หลีกเลี่ยงการรับประทานยาหยุดถ่าย เพราะจะทำให้ของเสียหรือเชื้อโรคยังคงสะสมอยู่ในลำไส้ และระหว่างที่มีอาการแนะนำให้เลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีผลิตภัณฑ์นมเป็นส่วนประกอบ งดอาหารรสจัดและของหมักดอง รับประทานอาหารอ่อนๆที่ย่อยง่าย เช่น ข้าวต้มหรือโจ๊ก หากมีอาการถ่ายบ่อยจนร่างกายอ่อนเพลียให้ดื่มน้ำเกลือแร่ร่วมด้วย
นอกจากนี้การลดขนาดมื้ออาหารลงในขณะท้องเสียก็เป็นการรักษาวิธีหนึ่งซึ่งไม่มีผลเสียหากร่างกายแข็งแรงดี เพราะจะเป็นการช่วยให้ลำไส้ได้พักและช่วยให้การทำงานกลับเป็นปกติเร็วขึ้น ตรงกันข้ามหากรับประทานเข้าไปมาก อาหารเหล่านั้นจะถูกดูดซึมเข้าร่างกายได้น้อยหรือไม่ดูดซึมเลย ทำให้ยิ่งรับประทานมากเท่าใดก็ยิ่งทำให้เสียน้ำและเกลือแร่ออกจากร่างกายมากขึ้นเท่านั้น และจะได้ประโยชน์จากอาหารที่รับประทานเข้าไปน้อย
มีหลายคนสงสัยว่าเมื่อท้องเสียต้องรับประทานคาร์บอนหรือไม่ ความจริงยังไม่มีการยืนยันทางการแพทย์ว่ารับประทานคาร์บอนแล้วจะช่วยดูดซับสารพิษได้จริง อย่างไรก็ตาม หากจะรับประทานคาร์บอนควรเว้นระยะห่าง 2 ชั่วโมงจากการรับประทานยาชนิดอื่น เช่น ยาฆ่าเชื้อ ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้คาร์บอนไปดูดซึมยาดังกล่าว ทำให้ประสิทธิภาพในการรักษาลดลง และหลังจากหายท้องเสียแล้ว การรับประทานอาหารซึ่งมีจุลินทรีย์ชนิดดี เช่น โยเกิร์ต หรือผลิตภัณฑ์ที่มีโปรไบโอติก ก็อาจช่วยให้เชื้อต่างๆในลำไส้คืนสมดุลได้เร็วขึ้น ที่สำคัญคือการป้องกัน โดยเลือกรับประทานอาหารที่สะอาด ปรุงสุกใหม่ ย่อยง่าย และควรเคี้ยวอาหารให้ละเอียด อีกทั้งดูแลสุขอนามัย เช่น ล้างมือด้วยสบู่หลังเข้าห้องน้ำและก่อนกินอาหาร
สุดท้าย ผู้ที่มีอาการต่อไปนี้ต้องรีบมาพบแพทย์ทันที เช่น อุจจาระมีมูกปน มีกลิ่นเหม็นผิดปกติคล้ายกุ้งเน่า คลื่นไส้ อาเจียนรุนแรง มีไข้สูงเกินกว่า 38.5 องศาเซลเซียส อ่อนเพลียมาก หรือมีอาการนานกว่า 48 ชั่วโมง และผู้ที่มีโรคประจำตัว รวมทั้งเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี และผู้สูงอายุ ไม่ควรรักษาเอง เพราะถ้าอาการรุนแรงอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
You must be logged in to post a comment Login