วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2567

“พิชัย” ห่วงสงครามสหรัฐ-อิหร่านทำเศรษฐกิจไทยยิ่งทรุด

On January 9, 2020

วันนี้ (9 ม.ค. 2563) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า รู้สึกกังวลว่าสงครามระหว่างสหรัฐและอิหร่านที่กำลังต่อสู้กันไปมาและทำท่าจะยิ่งทวีความรุนแรงและยืดเยื้อจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยที่ย่ำแย่อยู่แล้วให้ทรุดลงไปอีก โดยผลกระทบจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่มีราคาสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้ไทยต้องเสียเงินตราต่างประเทศเพิ่มขึ้นในการนำเข้าน้ำมัน ประชาชนจำนวนมากไม่ทราบว่าในสมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ราคาน้ำมันได้ลดลงมามากจากราคาในอดีตถึงกว่าครึ่ง จากเดิมที่ราคาเคยสูงถึงบาร์เรลละ 140 เหรียญ ลดลงมาอยู่ที่บาร์เรลละ 50-60 เหรียญเท่านั้น ซึ่งทำให้ประเทศไทยประหยัดและลดค่าใช้จ่ายในการนำเข้าน้ำมันดิบได้ปีละหลายแสนล้านบาท ซึ่งหากรัฐบาลบริหารได้ดี เศรษฐกิจไทยคงต้องดีกว่านี้มาก และนี่เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ประเทศไทยมีดุลการค้าเป็นบวกทั้งๆที่ส่งออกย่ำแย่ เพราะไทยสามารถลดค่าใช้จ่ายในการนำเข้าน้ำมันดิบได้มากนั่นเอง ซึ่งหากราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับเดิมเศรษฐกิจไทยคงจะย่ำแย่กว่านี้มาก

โดยที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกได้ลดลงมาก แต่ราคาน้ำมันขายปลีกโดยเฉพาะน้ำมันดีเซลยังอยู่ในระดับสูงเกือบเท่าราคาเดิมที่ลิตรละ 27-28 บาท สาเหตุเพราะรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ได้จัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น จากในอดีตที่เก็บลิตรละ 0.005 บาท (หรือเกือบไม่เก็บเลย) ขึ้นภาษีมาเป็นลิตรละ 5.99 บาท จึงเป็นสาเหตุที่ตนเรียกร้องให้ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันลง 5 บาท และ สามารถทำได้ โดยที่ในอดีตไม่สามารถทำได้ เพราะรัฐบาลในอดีตแทบไม่ได้เก็บภาษีนี้เลย ดังนั้น หากสงครามทำให้ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นมาก รัฐบาลก็ควรพิจารณาลดการเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันนี้ แต่ถ้ารัฐบาลลดภาษีสรรพสามิตได้ตอนนี้เลยก็จะช่วยค่าครองชีพของประชาชนได้มาก

ในขณะที่โลกกำลังกังวลกับภาวะสงคราม แต่นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมต.ต่างประเทศ กลับชักศึกเข้าบ้าน พูดในสิ่งที่ รมต.ต่างประเทศไหนก็ไม่ควรพูด โดยอ้างว่าสหรัฐแจ้งไทยก่อนมีการโจมตี ซึ่งไม่แน่ใจว่าต้องการแสดงว่าตนเองสนิทกับสหรัฐใช่หรือไม่ แต่กลับทำร้ายประเทศอย่างรุนแรง สร้างความไม่พอใจให้กับประเทศอิหร่านและพันธมิตรของอิหร่าน ขนาดนักการศาสนาผู้นำมุสลิมชีอะห์ในประเทศไทยยังออกมาตำหนิ และกระทรวงการต่างประเทศของไทยยังต้องออกมาปฏิเสธข่าวดังกล่าว ซึ่งเป็นเหมือนการหักหน้านายดอนอย่างรุนแรง และต่อมานายดอนก็ต้องออกมากลืนน้ำลายตัวเองแถลงยอมรับว่าเป็นข่าวคลาดเคลื่อน ซึ่งเป็นการแก้ตัวแบบน้ำขุ่นๆ และยิ่งตอกย้ำความผิดพลาด เพราะประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่าสหรัฐแจ้งมาหรือไม่ หรือข่าวคลาดเคลื่อนหรือไม่ แต่ประเด็นอยู่ที่ รมต.ต่างประเทศควรจะต้องมีวิจารณญาณในการที่จะพูดอะไรหรือไม่พูดอะไรที่จะไม่ทำให้ประเทศเสียหายใช่หรือไม่ ซึ่งคำพูดของนายดอนได้ทำความเสียหายให้แก่ประเทศอย่างมากแล้ว และนายดอนควรต้องลาออกแล้ว เพื่อแสดงความรับผิดชอบและป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดเพิ่มขึ้นกับประเทศ โดยนายดอนควรจะต้องออกตั้งแต่รัฐบาลที่แล้วที่มีเรื่องการถือหุ้นของภรรยา ซึ่งนายดอนก็ยังยอมรับเองด้วย แต่ก็หลุดรอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์

ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่ารัฐบาลในช่วงขาลงนี้ได้มีการสื่อสารกับประชาชนผิดพลาดอย่างสะเปะสะปะอย่างมาก นับตั้งแต่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ออกมาแนะนำให้ประชาชนแก้ความเค็มของน้ำประปาด้วยการต้ม ซึ่งไม่ต้องเป็นนักวิทยาศาสตร์ก็ต้องรู้ว่าการต้มไม่สามารถแก้ความเค็มได้ แต่จะยิ่งทำให้ความเค็มเข้มข้นขึ้น ขนาดเรื่องง่ายๆแค่นี้ยังไม่รู้ แล้วจะไปแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังย่ำแย่อยู่ได้อย่างไร อีกทั้งยังแนะนำให้ประชาชนขุดบ่อเก็บน้ำในช่วงน้ำแล้งนี้ โดยที่ไม่รู้เลยว่าจะเอาน้ำจากไหนมาใส่บ่อที่จะขุดนี้ ซึ่งคงไม่ต่างกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ที่ตอบนักข่าวที่ถามเรื่องที่มีประชาชนจำนวนมากฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจากพิษเศรษฐกิจว่า แก้โดยดูข่าวในโซเชียลให้น้อยหน่อยจะดีเอง ซึ่งเหมือนเป็นการหลบปัญหามากกว่าจะแก้ปัญหา โดยก่อนนี้เพิ่งขอให้คนไทยก้าวข้ามจีดีพีที่ต่ำเตี้ย ทั้งที่จีดีพีเป็นตัวเลขสากลที่ใช้วัดการพัฒนาทางรายได้ของคนในประเทศ ทั้งนี้ก็เพราะนายสมคิดคงหมดปัญญาจะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศได้แล้วจึงต้องบอกเช่นนั้น ซึ่งก็ห่วงว่าจะมีประชาชนต้องฆ่าตัวตายกันอีกมากจากความล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลนี้ และมาถึงเรื่องคำพูดที่ผิดพลาดของนายดอนอีก ซึ่งเชื่อว่ารัฐบาลช่วงขาลงยิ่งพูดผิดพลาดแบบสะเปะสะปะมากขึ้นเท่าไรก็จะยิ่งทำให้มีประชาชนออกมา “วิ่งไล่ลุง” ในวันที่ 12 มกราคมนี้กันมากขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้รัฐบาลได้รับรู้ว่าความอดทนของประชาชนเริ่มจะถึงขีดจำกัดกันแล้ว


You must be logged in to post a comment Login