วันพฤหัสที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2567

ขับช้าๆข้างหน้ามีใบสั่ง

On May 2, 2019

คอลัมน์ : เรื่องจากปก
ผู้เขียน : ทีมข่าวการเมือง

(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่ 3-10 พฤษภาคม 2562 )

“ผมขอสงวนสิทธิในการดำเนินการทางกฎหมายตอบโต้ และถ้าผมจะดำเนินการทางกฎหมายตอบโต้ ผมเป็นคนใจเย็น จะรอจนกว่า คสช. หมดอำนาจแล้วจะดำเนินการทางกฎหมาย มาตรา 157 มีอายุความ 15 ปี เราทุกคนรู้ว่าขณะนี้ คสช. อยู่ในขาลง ไม่มีทางที่จะครองอำนาจอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ เวลาอยู่ข้างประชาชน ผมจะรอจนกว่า คสช. หมดอำนาจแล้วถึงจะฟ้องดำเนินคดีความกับคนที่ตัดสินคดีผมโดยไม่มีหลักการทางวิทยาศาสตร์รองรับ ผมจะรอให้ถึงวันนั้นแล้วค่อยฟ้องกลับเพื่อปกป้องสิทธิของผม”

นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ประกาศหลังจากเข้าชี้แจงกับอนุกรรมการไต่สวนของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อชี้แจงกรณีการโอนหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ซึ่งอาจเข้าข่ายลักษณะต้องห้ามการลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. โดยนายธนาธรใช้เวลาชี้แจงกับอนุกรรมการไต่สวนของ กกต. เป็นเวลากว่า 4 ชั่วโมง และระบุว่า คดีนี้มีมูลเหตุจูงใจทางการเมือง ไม่เกี่ยวข้องกับข้อกฎหมาย หลังจาก กกต. ตอบคำถามในประเด็นต่างๆที่ตนสอบถามกลับไปไม่ได้ ทั้งบันทึกข้อกล่าวหาก็มีเนื้อหาเพียง 3 บรรทัดที่คัดลอกจากสำนักข่าวอิศรา

นายธนาธรระบุว่า กระบวนการตั้งข้อกล่าวหาไม่ได้เปิดโอกาสให้ตนชี้แจงข้อกล่าวหา มีเพียงเอกสารส่งไปยังนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ มารดาของตนที่ได้รับการโอนหุ้นจากตน ซึ่งหนังสือมาถึงที่บ้านพักเมื่อวันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมา เวลา 13.45 น. แต่ให้มาให้ถ้อยคำกับ กกต. ในวันเดียวกันเวลา 10.30 น. จากนั้นวันที่ 23 เมษายน มีการแจ้งข้อกล่าวหากับตน ซึ่งไม่เป็นธรรมสำหรับตนในฐานะผู้เสียหาย

ตอบไม่ได้ว่าผิดตรงไหน?

นายธนาธรเปิดเผยว่า การชี้แจงส่วนใหญ่เป็นการชี้แจงตามเอกสาร แต่ที่ในการชี้แจงตึงเครียดไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องการชี้แจงเลย แต่คณะกรรมการไต่สวนที่มี พ.ต.ท.ปรีชา นาเมืองรักษ์ เป็นประธาน ไม่สามารถตอบคำถามพื้นฐานได้เลยว่าตนผิดตรงไหน หรือเอกสารไหนผิด หรือเอกสารชิ้นใดที่ทำให้ กกต. ไม่เชื่อว่าโอนหุ้มสมบูรณ์ตั้งแต่วันที่ 8 มกราคมแล้ว หลังเข้าชี้แจงเสร็จตนจึงเชื่อได้ว่าคดีนี้มีแรงจูงใจทางการเมือง ไม่ใช่มูลเหตุทางกฎหมายหรือความเป็นธรรม

จากการตรวจสอบยังพบว่าหลายอย่างระบุไม่ชัดเจน เช่น รายละเอียดเรื่อง บมจ.5 หรือสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นที่ไม่ระบุวันที่ มีเพียงการระบุว่าตรวจสอบแล้วว่ามีชื่อนายธนาธรเป็นผู้ถือหุ้น ซึ่งตามหลักการกฎหมาย บมจ.5 ไม่ใช่เอกสารหลักฐานว่าได้มีการโอนหุ้นไปแล้วเมื่อใด

ใช้กฎหมายตอบโต้กลับ

นายธนาธรกล่าวว่า มีรายชื่อว่าที่ ส.ส. ไม่น้อยกว่า 30 คนที่มีคดีหุ้นเหมือนกัน ถ้าจะทำกันอย่างนี้ตนก็จะเอาเรื่องนี้มาฟ้องบ้างและจะฟ้องกลับ เพราะมีหลายกรณีที่นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เอาเรื่องเท็จมาฟ้อง จนถึงทุกวันนี้ตนยังไม่ฟ้องกลับ และมีหลายกรณีที่มีหลักฐานชัดเจนว่ามีสื่อหลายสำนักเอาข้อความที่ไม่เป็นจริงเกี่ยวกับตนและพรรคอนาคตใหม่มาปั่นซึ่งผิดกฎหมาย

“ความอดทนของคนมีขีดจำกัด ถ้าจะเดินหน้าต่อไปกันอย่างนี้เรื่อยๆก็เอากันอย่างนี้ แต่ที่ผ่านมาผมยังไม่อยากเดินไปถึงจุดนั้นที่เห็นว่าไม่ถูกไม่ควร อดทนอดกลั้น ต่อสู้ในแนวทางสันติที่สุดและดีที่สุด แต่ช่องว่างระหว่างสิ่งที่เป็นอยู่ปัจจุบันกับเส้นความอดทนมันใกล้เต็มที ถ้ายังดำเนินการอย่างนี้เรื่อยๆก็ต้องใช้วิธีการทางกฎหมายตอบโต้กลับบ้าง แล้วผู้มีอำนาจก็จะใช้เวลามาแก้ตัว จะไม่มีใครมีเวลาไปบริหารประเทศ จะไม่มีใครมีเวลาไปสนใจคุณภาพชีวิตประชาชน”

เตรียมฟ้อง กกต. มาตรา 157

นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า หากการแจ้งข้อกล่าวหานายธนาธรในครั้งนี้เกินเลยไปถึงการไม่ประกาศชื่อนายธนาธรเป็น ส.ส. หรือแจกใบส้ม ถือเป็นการตั้งข้อกล่าวหาโดยมิชอบ แล้ว กกต. ทั้ง 7 คน จะรับผิดชอบไหวหรือไม่ ทั้งนี้ เตือนว่า กกต. ต้องทำหน้าที่ต่อไปในฐานะองค์กรอิสระ อย่าหวาดกลัวกับแรงกดดัน เพราะความยุติธรรมและกฎหมายจะคุ้มครองท่านเอง คสช. เดี๋ยวก็ไปแล้ว แต่ กกต. ต้องอยู่อีกนาน

นายปิยบุตรยังระบุว่า ได้เตรียมทำคำให้การเพิ่มอีก 1 ประเด็นคือ การตั้งข้อกล่าวหาโดยมิชอบ และขอสงวนสิทธิในการดำเนินคดีกับ กกต. ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ แต่จะรอ คสช. หมดอำนาจไปก่อนจึงจะดำเนินการตามกฎหมาย เพราะมาตรา 157 มีอายุความ 15 ปี

นายปิยบุตรกล่าวว่า คณะกรรมการไต่สวนและ กกต. ไม่ใช่ผู้ช่วยการแสวงหาข้อเท็จจริงให้ผู้กล่าวหา แต่ควรจะให้ผู้กล่าวหาบอกรายละเอียดมาว่าโอนหุ้นจริงหรือไม่ เมื่อไร ไม่ใช่มาถามนายธนาธร หลักของกระบวนการยุติธรรมคือความเสมอภาคของคู่ความ

กกต. ยันฟ้องอาญาถือหุ้นสื่อ

ประเด็นการถือหุ้นสื่อกลายเป็นประเด็นร้อนและลุกลามเป็น “โดมิโน่” อย่างที่มีการเตือนกันก่อนหน้านี้ ขณะที่การคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อก็ยังเป็นปริศนา โดย พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. ยืนยัน (30 เมษายน) ว่า การคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อมีอยู่แล้วสูตรเดียวตามข้อกฎหมาย และเป็นอำนาจของ กกต. ที่จะต้องคำนวณตามกฎหมาย ไม่จำเป็นต้องเลือกสูตรอื่นๆ สำนักงาน กกต.ไม่ต้องเสนอสูตรให้ กกต. อีก โดยวิธีการคำนวณจะทราบพร้อมกันเมื่อ กกต. ประกาศรับรองผลเลือกตั้งแล้ว

ส่วนผู้สมัคร ส.ส. ที่ถูกศาลฎีกาสั่งถอนชื่อออกจากการสมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากถือหุ้นในกิจการสื่อนั้น จะดำเนินคดีอาญาทุกรายที่ศาลมีคำสั่งแล้ว ไม่เฉพาะกรณีผู้สมัครพรรคอนาคตใหม่ จังหวัดสกลนคร ที่ศาลฎีกามีคำสั่งไปเมื่อวันที่ 19 มีนาคมที่ผ่านมา เพราะเข้าข่ายฐานความผิดตามมาตรา 151 กฎหมายเลือกตั้ง ส.ส. หากรู้อยู่แล้วว่าขาดคุณสมบัติแต่ยังฝ่าฝืนมาลงสมัครอีกจะมีโทษสูงสุดจำคุก 10 ปี ตัดสิทธิเลือกตั้ง 20 ปี และปรับสูงสุด 200,000 บาท

ใช้สูตร 27 พรรคได้ปาร์ตี้ลิสต์

ขณะที่ก่อนหน้านี้ พ.ต.อ.จรุงวิทย์กล่าวกับทีมข่าวเจาะประเด็นไทยรัฐออนไลน์ (29 เมษายน) ถึงสูตรการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อว่ามีเพียงสูตรเดียว คือสูตรที่กรรมการร่างรัฐธรรมนูญเป็นผู้คิดและเสนอคือมี 27 พรรคการเมืองได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ไม่ใช่สูตรที่ 16 พรรคการเมืองได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ซึ่ง กกต. ไม่ได้กังวลว่าจะมีการร้องเรียนศาลรัฐธรรมนูญจากพรรคการเมืองที่ไม่เห็นด้วย เพราะหากใช้เกณฑ์ 71,000 คะแนนได้ ส.ส. 1 คน แต่ ส.ส.เขตบางเขตได้ 20,000 คะแนน ยังได้เป็น ส.ส. กกต. จึงมั่นใจว่าจะสามารถประกาศรับรอง ส.ส. ได้ครบ 95% วันที่ 9 พฤษภาคมนี้ เพื่อเปิดสภาผู้แทนราษฎรและมีรัฐบาลใหม่

นครปฐมโมเดล

นอกจากประเด็นสูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อที่ยังอึมครึมแล้ว กกต. ยังถูกรุมกระหน่ำอย่างหนักกรณีผลการนับคะแนนการเลือกตั้งนครปฐมเขต 1 ผิดพลาด แม้จะให้มีการนับคะแนนใหม่ แต่คะแนนก็ยังพลิกไปพลิกมาระหว่างผู้สมัครพรรคอนาคตใหม่กับพรรคประชาธิปัตย์ ทำให้ต้องนับถึง 5 ครั้ง ซึ่ง กกต. เองก็ยอมรับว่ากระทบถึงความน่าเชื่อถือของ กกต.

ยิ่งผ่านมากว่า 1 เดือน กกต. ก็ยังประกาศผลการเลือกตั้งไม่ได้ ก็ยิ่งมีคำถามว่าการเลือกตั้งครั้งนี้โปร่งใสและบริสุทธิ์ยุติธรรมจริงหรือไม่ หรือเพราะฝ่ายที่สนับสนุนการ “สืบทอดอำนาจ” ไม่ชนะการเลือกตั้ง จึงต้องทำให้ทุกอย่างเป็นไปตามโรดแม็พของผู้มีอำนาจ

พรรคอนาคตใหม่ออกแถลงการณ์กรณีการนับคะแนนเขต 1 นครปฐม ที่เปลี่ยนไปมาถึง 5 ครั้งว่า ถือเป็นปัญหาอย่างมาก ทำให้ไม่สามารถหาข้อยุติอันชอบธรรมได้ว่าผลการเลือกตั้งครั้งใดถูกต้อง

นายแสวง บุญมี รองเลขาธิการ กกต. ยอมรับว่า ความผิดพลาดในการนับคะแนนก่อให้เกิดปัญหาความน่าเชื่อถือขององค์กร แต่ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นเกิดจากกรรมการนับคะแนน 1 ชุด ที่ต้องนับคะแนนถึง 4 หน่วย

“ชูวิทย์” เตือน กกต. ยุ่งตายห่า

นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตหัวหน้าพรรครักประเทศไทย โพสต์เฟซบุ๊คกรณีการนับคะแนนใหม่เขต 1 นครปฐม โดยยกวลี “ยุ่งตายห่า” ของนายประสิทธิ์ กาญจนวัฒน์ อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎรปี 2518 ที่ต้องคอยห้ามศึกความวุ่นวายในห้องประชุมและใช้วลี “ยุ่งตายห่า” กับนักข่าวอยู่เสมอ ซึ่งการนับคะแนนใหม่ที่นครปฐมยังวุ่นวาย “หาก กกต. ไม่พร้อมที่จะทำหน้าที่ก็ยอมรับเสียเถิด เพราะท่านเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่จัดการเลือกตั้งให้โปร่งใส บริสุทธิ์ ยุติธรรม” กกต. อาจมีชะตากรรมเหมือนอดีต กกต. ที่ถูกลงโทษให้ติดคุก

การทำงานของ กกต. สมควรทำให้สังคมยอมรับ ไม่ใช่ทำให้สังคมคลางแคลงใจว่า “เอาไงกันแน่วะ?” ตั้งแต่การเลือกตั้ง 24 มีนาคม ที่ผ่านมาเป็นเดือนแล้วยังไม่รู้ผล ส่วนคะแนนจากนิวซีแลนด์ก็เน่าคาเครื่อง ไหนจะเรื่องอื่นๆอีกมากที่ถาโถมใส่ แม้กระทั่งที่นครปฐม แทนที่จะทำให้ปราศจากข้อสงสัย ผลกลับหนักกว่าเดิม ยิ่งทำให้สงสัยมากขึ้นไปอีก

“ความยุติธรรมจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำให้คนยอมรับ ไม่งั้นมันอาจย้อนมาทำร้ายตัวท่านเองในอนาคต

อย่าทำเป็นเล่นไป ตอนผมติดคุกยังได้พบกับท่าน พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ อดีตประธาน กกต. และท่านปริญญา นาคฉัตรีย์ อดีต กกต.

ผิดพลาด 7 กกต. ต้องรับผิดชอบ

นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โพสต์เฟซบุ๊ค (30 เมษายน) การคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อว่า กฎหมายลูกไม่เคยขัดรัฐธรรมนูญ แต่คนคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่ออาจคำนวณผิดรัฐธรรมนูญได้ เพราะรัฐธรรมนูญไม่ได้ให้สูตร กฎหมายเลือกตั้ง ส.ส. ก็ไม่มีสูตรในภาคผนวก ตัวอย่างการคำนวณเป็นการทดลองสมมุติตัวเลขที่อยู่ในรายงานการประชุมระดับเจ้าพนักงานของ กกต. เพียงไม่กี่คน

ดังนั้น การแปลกฎหมายลูกให้เป็นสูตรวิธีการคิดจึงเป็นอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบของ กกต. 7 คน จะให้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญมายืนยันว่าสูตรถูก แล้วถ้าใช้แล้วผิด กกต. ทั้ง 7 คนคือผู้รับผิดชอบ เพราะเป็นคนตัดสินใจใช้ หากใช้แล้วถูกคงไม่มีใครเดือดร้อน แต่หากคนไปร้องศาลรัฐธรรมนูญแล้วศาลบอกผิด กกต. ก็แค่เปลี่ยนวิธีการคำนวณใหม่ ประกาศผลใหม่ สิ่งที่ทำก่อนหน้าศาลมีคำสั่งยังมีผลผูกพันตามกฎหมาย ไม่ว่าจะลงคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรีหรือการผ่านกฎหมายใดๆล้วนมีผล ไม่เป็นโมฆะ จึงไม่ต้องห่วงว่าจะวุ่นวาย

“หากไปไกลกว่านั้น มีคนไปร้อง ป.ป.ช. ว่า กกต. ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทำผิดรัฐธรรมนูญ ลงมติโดยไม่สุจริตโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจัดตั้งรัฐบาลได้ เรื่องจะไม่จบแค่แก้การประกาศผลให้เป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลเท่านั้น ผลที่ตามมาเป็นอย่างไรต้องไปคิดกันเอง ทุกอย่างจึงอยู่ที่การตัดสินใจของ กกต. ทั้ง 7 งานนี้ตัวช่วยไม่มี ถึงมีก็ไม่เกี่ยวด้วย” นายสมชัยเตือน

“อินฟินิตี้ วอร์” เริ่มต้นขึ้นแล้ว

นายสมชัยโพสต์ข้อความก่อนหน้านี้ (27 เมษายน) พร้อมภาพตัวละคร “ธานอส” จากภาพยนตร์เรื่อง “Avengers : Endgame” พร้อมระบุข้อความว่า “การดีดนิ้วทางการเมืองที่จะสลายผู้สมัคร ส.ส. ไปครึ่งจักรวาล อินฟินิตี้ วอร์ เริ่มต้นขึ้นแล้ว”

เมื่อมีการนำเรื่องคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้สมัคร ส.ส. ที่เขียนไว้ใน พ.ร.ป.ส.ส. มาตรา 42 (3) มาตีความและบังคับใช้อย่างเคร่งครัด “ห้ามผู้สมัครเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ” เป็นผู้ถือหุ้นล้านหุ้นหรือหนึ่งหุ้นล้วนต้องห้าม

กิจการที่เกี่ยวกับสื่อจะดูที่วัตถุประสงค์การก่อตั้งในหนังสือจดทะเบียนบริษัท หากมีคำว่า “หนังสือพิมพ์” หรือ “สื่อมวลชน” แม้เป็นหนึ่งในร้อยข้อ ย่อมไม่ได้

“แม้รับเหมาก่อสร้าง ขายอุปกรณ์สำนักงาน ทำธุรกิจนำเข้าส่งออก แต่เวลาจดทะเบียนไปจดวัตถุประสงค์ครอบจักรวาลเพื่อให้เกิดความคล่องตัวทางธุรกิจย่อมไม่ได้”

ผู้สมัคร ส.ส. จะฝ่ายใดก็ตาม หากเป็นนักธุรกิจที่ถือครองหุ้น วันนี้แค่รอคอยว่าเมื่อใดการร้อง การขุดคุ้ยว่าบริษัทตนเองมีหุ้น จะมีหลุดวัตถุประสงค์สักข้อที่ว่าทำกิจการสื่อทั้งที่ผ่านมาทำกิจการอื่นมาโดยตลอดหรือไม่

เมื่อหนึ่งคนถูกตรวจสอบและถูกชี้ว่าขาดคุณสมบัติ การขอให้ตรวจสอบอีกสิบอีกร้อยคนที่ชนะเลือกตั้งก็จะเกิดขึ้น เมื่อระบบเลือกตั้งใหม่ทุกคะแนนมีความหมาย การขอให้ตรวจสอบ “ผู้สมัครที่แม้ไม่ชนะเลือกตั้ง” เพื่อ “สลายคะแนนทุกคะแนน” ที่จะสะสมเป็นคะแนนพรรคก็จะเกิดขึ้น

“การดีดนิ้วครั้งนี้หรือว่าจะทำให้ ส.ส. และผู้สมัคร ส.ส. จะสลายไปครึ่งจักรวาล” ..#โดมิโน่ทางการเมืองเริ่มต้นแล้ว ปรากฏการณ์หลังจากนี้ “ใครบ้าง” ที่ถือ-ถือครอง “หุ้นสื่อ” คงถูกขุดคุ้ย-ประจานสาแหรกอีก “บิ๊กล็อต”

เมื่อ “เลือกตั้งแพ้แต่คนไม่ (ยอม) แพ้” สารพัดแทคติกก็ถูกงัดมาใช้ทำลายล้างทางการเมืองให้ราบคาบในกระดานเดียว

กรรมตามสนอง

การจ้องทำลายฝ่ายประชาธิปไตยอย่างต่อเนื่องจึงไม่จบง่ายๆแน่นอน อย่างที่นายณรงค์ รุ่งธนวงศ์ หัวหน้าศูนย์ข้อมูลและสถิติ กองอำนวยการเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย ได้ยื่นเรื่องต่อ กกต. ให้ตรวจสอบ “คุณสมบัติต้องห้าม” เพราะถือครองหุ้นสื่อของนายชาญวิทย์ วิภูศิริ ผู้สมัคร ส.ส. กทม. เขต 5 และนายสมศักดิ์ สุขประเสริฐ ผู้สมัคร ส.ส. สกลนคร เขต 5 พรรคพลังประชารัฐ

นอกจากนี้ยังอาจมีกรรมการบริหารพรรคอย่างน้อย 3 คน ถูกร้องเรียนในลักษณะเดียวกันคือ นายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ น.ส.ธณิกานต์ พรพงษาโรจน์ ว่าที่ ส.ส. กทม. และกรรมการบริหารพรรค และ น.ส.วทันยา วงษ์โอภาสี ว่าที่ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคพลังประชารัฐ

ขณะที่นายอนุรักษ์ เจนตวนิชย์ หรือ “ฟอร์ด เส้นทางสีแดง” แกนนำกลุ่มประชาชนอยากเลือกตั้ง และนายเอกชัย หงส์กังวาน นักกิจกรรมทางการเมือง เดินทางมายื่นคำร้องต่อ กกต. ขอให้พิจารณายุบพรรคพลังประชารัฐ เนื่องจากนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ กรรมการบริหารพรรค ถูกอัยการฝ่ายคดีพิเศษฟ้องคดีต่อศาลในข้อหาอั้งยี่ซ่องโจร ขัดขวางการเลือกตั้ง เนื่องจากการชุมนุมของ กปปส. ซึ่งถือเป็นการกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

การตอบโต้ทางการเมืองอาจลามไปถึงนายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะลงนามรับรองคุณสมบัติ “ผู้ขาดคุณสมบัติ” ซึ่งหากพิสูจน์ได้ว่าเข้าข่ายทำให้เลือกตั้ง “ไม่สุจริต” ก็อาจถึงขั้นยุบพรรค เข้าตำรา “กรรมตามสนอง” ก็เป็นได้

นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น โพสต์ข้อความ (27 เมษายน) ตั้งข้อสังเกตว่า กรณีการโอนหุ้นของนายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ไม่ต่างกับการโอนหุ้นของนายธนาธร แต่ทำไมผลของการปฏิบัติจึงต่างกันชนิดตรงกันข้าม มีการเลือกปฏิบัติใช่ไหม? เมื่อเป็นเช่นนี้จะให้เชื่อถือองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญได้อย่างไร?

ทวงความสุขจี้ “ลุงตู่” เสียสละ

“แม่มาแล้ว Avengers Endgame ถ้าเราแพ้เราจะแพ้ด้วยกัน คือ Quote ของ Tony Stark ที่ปลุกเหล่าฮีโร่ทุกพรรค..เอ๊ย!! ทุกคน ลุกขึ้นสู้ “ลุงธานอส” ชีวิตจริงไม่ต่างจากหนัง Game ที่คู่แข่งเขียนกติกา เราย่อมเสียเปรียบ ขอเพียงเราอย่าท้อ ร่วมกันสู้จนครบยก เมื่อถึง #EndGame เราจะชนะด้วยกันค่ะ”

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ทวีตข้อความเปรียบเทียบสถานการณ์การเมืองกับมหากาพย์หนังแอ็คชั่นเหล่าซูเปอร์ฮีโร่ระดับโลก “อเวนเจอร์-เอนด์เกม” แสดงความมั่นใจว่า ถ้าทุกพรรคฝ่ายประชาธิปไตยร่วมกันสู้กับ “ลุง” เมื่อเกมจบจะเป็นฝ่ายชนะด้วยกันทั้งหมด แต่หนังก็คือหนัง มักต่างลิบลับกับโลกแห่งความเป็นจริง ยิ่งการเมืองไทยยิ่งเป็นสิ่งอยู่นอกเหนือความคาดหมาย บรรดาฮีโร่ต้องมาตายตอนจบ ถูกกล่าวหาเป็น “ผู้ร้าย” ก็เคยมีให้เห็นมาแล้ว

เป็นไปตามโรดแม็พ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ยังทำตัวอยู่เหนือความขัดแย้งทั้งที่ถูกมองว่าเป็น “ต้นเหตุ” สำคัญของวิกฤตการเมืองขณะนี้ในฐานะว่าที่นายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ กล่าวภายหลังการประชุม คสช. และการประชุมคณะรัฐมนตรี (30 เมษายน) ว่า อย่าไปกังวลการแต่งตั้ง 250 ส.ว. ที่ประกอบด้วยอดีตข้าราชการพลเรือน ตำรวจ ทหาร แต่จะมีพลเรือนในสัดส่วนที่มากกว่า โดยจะนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯหลังจากที่ กกต. รับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส. อย่างเป็นทางการแล้ว 3 วันตามกฎหมาย

ส่วนการยื่นเรื่องให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะนั้น วันนี้ขอให้เป็นไปตามกระบวนการประชาธิปไตย อย่าคิดถึงแต่ความต้องการและความถูกต้องของตัวเองเป็นหลัก ต้องเอากฎหมายกระบวนการยุติธรรมมาพิจารณา ถ้าเราคิดกันไปคนละทางสองทางก็จะเลอะเทอะไปเรื่อย

“เลือกตั้งใหม่ ให้นับคะแนนใหม่ก็ทำแล้ว ก็นับให้ ทำให้แล้ว ยังไม่พอใจกันอีก ก็ไม่รู้จะทำยังไง วันนี้มันเป็นคะแนนเสียงของประชาชน จึงขอร้องทุกคนอย่าคำนึงถึงผลประโยชน์ของตัวเองเพียงอย่างเดียว แต่ควรทำงานการเมืองโดยยึดถือ 3 สถาบันหลักคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่งประเทศชาติจะต้องมีความสงบโดยรวม ทุกคนต้องช่วยกัน”

พล.อ.ประยุทธ์ยืนยันว่า รัฐบาลมีความแน่นอน กำหนดกติกาและวันเวลาต่างๆไว้ทั้งหมดตามกฎหมายรัฐธรรมนูญทุกอย่าง แสดงให้เห็นถึงความมีเสถียรภาพของรัฐบาลที่ได้กำหนดโรดแม็พที่ออกมาตามความต้องการของประชาชน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนการให้สัมภาษณ์ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า รู้สึกเหนื่อย แต่ก็ยังแข็งแรงและสามารถทำงานได้ แม้จะปฏิเสธภายหลังว่าแค่แกล้งพูดว่าเหนื่อยเฉยๆ

เดินหน้าสู่ประชาธิปไตย

คำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ที่บอกว่าอย่าคิดแค่ความต้องการและความถูกต้องของตัวเอง ต้องยึดกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ซึ่งพรรคการเมืองก็มีความต้องการเช่นกัน แต่ที่ผ่านมาความชุลมุนทางการเมืองหลังการเลือกตั้งนั้นพุ่งตรงไปที่ กกต. และกลุ่มที่จ้องทำลายพรรคการเมืองฝ่ายต่อต้านการสืบทอดอำนาจ

ดังนั้น ยิ่งการใช้กลไกของกฎหมายและอำนาจตัดสิทธิทางการเมืองฝ่ายต่อต้านการสืบทอดอำนาจมากเท่าไร ก็ยิ่งมีคำถามถึงความโปร่งใสและบริสุทธิ์ยุติธรรมในการเลือกตั้งครั้งนี้ว่าเป็นเพียงแค่พิธีกรรมเพื่อ “ฟอกขาว” ให้เผด็จการดูเหมือนเป็นประชาธิปไตยอย่างที่คุณหญิงสุดารัตน์ตั้งข้อสังเกตหรือไม่

นายธนาธรได้โพสต์ข้อความยืนยันว่า เลือกจะทำงานการเมืองเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยอย่างสันติ เพราะเชื่อว่าการเปลี่ยนผ่านกลับสู่ประชาธิปไตยที่สันติและค่อยเป็นค่อยไปมากที่สุดคือการทำผ่านกระบวนการรัฐสภา เป็นประชาธิปไตยที่คนทุกคนเท่าเทียมกัน หลักนิติรัฐและความเป็นธรรมได้รับการเชิดชู ทรัพยากรของประเทศถูกนำไปใช้เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตของคนส่วนใหญ่ของประเทศ สังคมสวยงามที่เรียบง่าย แต่ขณะเดียวกันก็หนักแน่นไปด้วยหลักการ จึงหวังว่า กกต. จะเป็นองค์กรอิสระอย่างแท้จริง เป็นเสาหลักที่เข้มแข็งในการดำเนินการผลักดันสังคมให้กลับสู่ความเป็นประชาธิปไตย

ขับช้าๆข้างหน้ามีใบสั่ง

การพยายามชิงการจัดตั้งรัฐบาลเพื่อ “การสืบทอดอำนาจ” จึงไม่ต่างกับสงครามที่ยืดเยื้อ โดยเฉพาะการกล่าวหาและฟ้องร้องดำเนินคดีฝ่ายต่อต้านการสืบทอดอำนาจคนแล้วคนเล่าอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการสร้างเงื่อนไขที่พร้อมจะล้มการเลือกตั้งได้ตลอดเวลา แม้ว่ากระแสสังคมที่ดังขึ้นเรื่อยๆไม่ใช่เฉพาะฝ่ายประชาธิปไตยว่า “จะยังดันทุรังให้ลุงตู่อยู่ต่ออีกหรือ?”

โดยเฉพาะกรณีนายธนาธรที่มั่นใจว่าไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ความมั่นใจของนายธนาธรและแฟนคลับฟ้ารักพ่อที่เลือกพรรคอนาคตใหม่กว่า 6 ล้านเสียงก็ไม่ใช่ว่าจะจบ เพราะเกมนี้ทุกอย่างอยู่ที่ 7 เสียงของ กกต. ว่าจะเลือกหนทางจบแบบใด

ขณะที่ “ทั่นผู้นำ” ก็ประกาศปาวๆให้ยึดกฎหมายที่ตนเขียนและกระบวนการยุติธรรมที่เลือกให้ แต่ทำไมจนป่านนี้คนมากมายกลับไม่เชื่อว่าการเลือกตั้งครั้งนี้โปร่งใสและบริสุทธิ์ยุติธรรม

พรรคการเมืองที่ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องความยุติธรรมไม่เห็นจะผิดตรงไหน เพราะกว่า 1 เดือน กกต. ก็ยังไม่สามารถประกาศผลการเลือกตั้งได้ โดยเฉพาะวิธีการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อที่ยังแกล้งมึนไม่มีข้อสรุป ยังไม่รวมถึงการให้ใบส้มและแจ้งข้อหาผู้สมัครรับเลือกตั้ง หรือแม้แต่บางเขตที่ยอมให้มีการนับคะแนนใหม่ แต่ก็มีคะแนนกลับไปกลับมา นับกี่ครั้งก็ไม่เหมือนกัน

การต่อสู้เพื่อให้ได้ระบอบประชาธิปไตยที่มั่นคงและเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรมไม่ใช่การสร้างความวุ่นวาย แต่ต้นตอของปัญหาและอาจลุกลามเป็น “วิกฤตประเทศ” อีกครั้งมากกว่าทุกปัญหาก็คือ “ฝ่ายที่แพ้ แต่ไม่ยอมรับว่าแพ้”

การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยจึงยังไม่จบง่ายๆ ตราบใดที่ “ระบอบพิสดาร” ยังพยายามอยู่ในอำนาจให้นานที่สุด รวมถึงการทำลายฝ่ายตรงข้ามให้สิ้นซากคือหนึ่งในโรดแม็พของ “การสืบทอดอำนาจ”

การแจ้งข้อหานายธนาธรที่มีเนื้อหาเพียง 3 บรรทัดที่คัดลอกจากสำนักข่าวอิศราที่พยายามตั้งข้อสงสัยว่าเป็นไปไม่ได้ที่นายธนาธรจะเดินทางจากบุรีรัมย์กลับมากรุงเทพฯในวันเดียวกันคือวันที่ 8 มกราคม เพื่อทำการโอนหุ้นตามที่เป็นข่าว แต่แล้วนายธนาธรได้โชว์หลักฐานสำคัญซิ่งฝ่านรกคือ “ใบสั่ง” ขับรถเร็วเกินกำหนดถึง 3 ใบ ในวันที่ 7 มกราคมที่สุรินทร์ วันที่ 8 มกราคมที่บุรีรัมย์และปทุมธานี รวมถึงต้นขั้วเช็คในการโอนหุ้นว่าไม่ใช่การทำเอกสารย้อนหลังอย่างที่มีการตั้งข้อสงสัย

นายธนาธรบอกว่าความอดกลั้นใกล้ถึงขีดสุด ถึงกับประกาศเตือน กกต. ว่าสุ่มเสี่ยงใช้อำนาจโดยมิชอบและมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 หากยังดื้อดึงจะเอาผิดหรือให้ “ใบส้ม” ซึ่งนายธนาธรก็ประกาศ “ขอสงวนสิทธิ” ในการดำเนินการทางกฎหมายกับ กกต. หลัง คสช. หมดอำนาจ

ขับรถเร็วเกินกำหนดก็ต้องเจอใบสั่งของตำรวจจราจร.. พรรคการเมืองที่โตเร็วเกินกว่าใครจะคาดคิดก็ต้องเจอใบสั่งจากเผด็จการ.. เป็นเรื่องธรรมดา

ระวัง! อย่าไปชนสัตว์ดึกดำบรรพ์..ขับช้าๆ ข้างหน้ามีใบสั่ง!!??


You must be logged in to post a comment Login