วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2567

อย่าสำคัญผิดคิดเหมือนซาตาน

On March 28, 2019

คอลัมน์ สันติธรรม
อย่าสำคัญผิดคิดเหมือนซาตาน
โดย บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้วันสุข วันที่ 29 มีนาคม – 5 เมษายน 2562)

ถ้าเอาโครงกระดูกของมนุษย์จากทุกส่วนของโลกมากองรวมกัน เราไม่สามารถแยกได้เลยว่าโครงกระดูกเหล่านั้นเป็นโครงกระดูกของมนุษย์เผ่าพันธุ์ใด เพราะมีลักษณะเหมือนกันหมด แม้จะมีขนาดแตกต่างกันพอที่จะให้เดาได้ว่าโครงกระดูกเล็กเป็นของคนเอเชียหรือแอฟริกา และโครงกระดูกใหญ่เป็นของคนยุโรป แต่ก็ไม่แน่เสมอไป

พอมีเนื้อหนังต่างสีผิวห่อหุ้มและมีชีวิต มนุษย์ผิวขาวกลุ่มหนึ่งร่างกายสูงใหญ่ แข็งแรง และมั่งคั่ง ก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่ามนุษย์ที่มีสีผิวอื่น การถือผิวชังพันธุ์จึงเริ่มเกิดขึ้น

การถือผิวชังพันธุ์อย่างเป็นระบบเกิดขึ้นในอินเดียในรูปของระบบวรรณะ ซึ่งยังมีอยู่จนถึงวันนี้ ระบบวรรณะใช้ความเชื่อเรื่องพรหมลิขิตซึ่งเป็นความเชื่อทางศาสนาสนับสนุน นั่นคือความเชื่อที่ว่ามนุษย์เกิดมาเพราะพรหม ถ้าใครถูกพรหมลิขิตให้เกิดในวรรณะใด คนนั้นก็ต้องอยู่ในวรรณะที่ถูกลิขิตไว้ตลอดไปโดยไม่สามารถเปลี่ยนแปลงวรรณะได้
white-supremacy
นอกจากในอินเดียแล้ว ความรู้สึกเรื่องชนชาติหรือเผ่าพันธุ์ของตัวเองเหนือกว่ามนุษย์เผ่าพันธุ์อื่นยังมีให้เห็นในหมู่ชาวยิวที่ตีความคำสอนศาสนาเพื่อยกตนข่มท่าน

ชาวยิวอ้างจากคัมภีร์ของตนและจากคัมภีร์ไบเบิลว่าชนชาติของตัวเองเป็นชนชาติที่พระเจ้าคัดเลือก เพราะชนชาติยิวเป็นที่รักของพระเจ้า ไม่เพียงเท่านั้น ชาวยิวกลุ่มนี้ยังอ้างว่าพระเจ้าได้สัญญากับพวกตนว่าพระองค์จะมอบดินแดนแห่งพันธะสัญญาที่มีอาณาเขตตั้งแต่แม่น้ำไนล์ถึงแม่น้ำยูเฟรตีสให้แก่พวกตน

ความเชื่อว่าตัวเองเป็นชนชาติที่เหนือกว่าชนชาติอื่นถูกปลูกฝังอยู่ในสายเลือดของคนยิว แม้จะถูกชนชาติอื่นโจมตีจนต้องหนีไปอาศัยตามส่วนต่างๆของโลกก็ตาม

หลังจากเมืองเยรูซาเล็มถูกทำลายโดยกองทัพของอาณาจักรไบแซนตินใน ค.ศ. 70 ชาวยิว 3 เผ่าได้อพยพมาหลบภัยอยู่ที่ชานเมืองยัษริบในคาบสมุทรอาหรับ ชาวยิวกลุ่มนี้ได้เอาความเชื่อในเรื่องเผ่าพันธุ์ของตัวเองเหนือกว่าคนอื่นติดมากับสายเลือดด้วย ชาวยิวกลุ่มนี้ภาคภูมิใจว่าตัวเองเหนือกว่าชาวอาหรับ เพราะบรรพบุรุษของพวกตนเป็นลูกหลานของยาโกบผู้ได้ฉายาว่าอิสราเอล หลานของอับราฮัม และบรรพบุรุษของตนเป็นนบีที่ได้รับคัมภีร์จากพระเจ้า

เมื่อนบีมุฮัมมัดเริ่มเผยแผ่อิสลาม พระเจ้าได้กำชับท่านว่าอย่าตำหนิหรือด่าทอรูปปั้นที่ชาวอาหรับท้องถิ่นเคารพบูชา และถ้าจะเผยแผ่อิสลามในหมู่ชาวยิวก็ต้องใช้วิธีการที่ดีและมีเหตุผล ดังนั้น เมื่อนบีมุฮัมมัดอพยพไปยังเมืองยัษริบ ท่านจึงเรียกชาวยิวว่า “ลูกหลานอิสราเอล” หรือไม่ก็ “ชาวคัมภีร์” เพื่อเป็นการให้เกียรติ ต่อเมื่อคนกลุ่มนี้ต่อต้านท่าน ท่านจึงเรียกคนกลุ่มนี้ว่า “ยะฮูด” ซึ่งแปลว่ายิวนั่นเอง

ด้วยความทะนงว่าชนชาติตัวเองเหนือกว่าชนชาติอื่น ชาวยิวจึงไม่ยอมรับนบีมุฮัมมัด ชาวยิวเชื่อว่าถ้าพระเจ้าจะแต่งตั้งนบีเพื่อเผยแผ่ศาสนา พระเจ้าต้องแต่งตั้งคนในเชื้อสายอิสราเอลเท่านั้น ด้วยความเชื่อว่าชนชาติของตนเป็นชนชาติที่พระเจ้ารัก ชาวยิวในเวลานั้นมีความเชื่อถึงขนาดว่าพวกตนจะไม่ตกนรก หรือถ้าจะตกนรกก็ตกเพียง 2-3 วัน ด้วยเหตุนี้นบีมุฮัมมัดจึงท้าชาวยิวที่มีความเชื่อเช่นนี้ว่า ถ้าความเชื่อเช่นนี้เป็นความจริง ทำไมไม่ตายเสียตอนนี้เลย

ในคัมภีร์กุรอาน พระเจ้าได้บอกเล่าเรื่องราวเพื่อสั่งสอนพวกลูกหลานอิสราเอลว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์คนแรกมาจากดิน และมนุษย์ทุกคนเป็นลูกหลานของอาดัมทั้งสิ้น ดังนั้น ในสายตาของพระเจ้า ไม่มีลูกหลานคนใดของอาดัมเหนือกว่าคนอื่น

ในเรื่องราวการสร้างมนุษย์ยังมีการเล่าต่ออีกว่า เมื่อพระเจ้าสร้างอาดัมแล้ว พระองค์ได้ให้ทุกสิ่งในอาณาจักรของพระองค์กราบอาดัม ทุกสิ่งทำตามคำสั่งของพระเจ้า แต่หัวหน้าซาตานที่ชื่ออิบลีสไม่ยอมทำตามคำสั่งของพระองค์ มันอ้างว่ามันเหนือกว่าอาดัม เพราะมันถูกสร้างมาจากไฟ แต่อาดัมถูกสร้างมาจากดิน มันลืมตัวไปว่าถึงแม้มันจะมีต้นกำเนิดมาจากไฟ แต่มันก็เป็นสิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา เมื่อมันไม่ยอมเชื่อฟัง มันจึงต้องถูกอัปเปหิออกมาจากอาณาจักรของพระองค์

คัมภีร์กุรอานบอกเล่าถึงท่าทีทะนงตนในต้นกำเนิดของซาตานก็เพื่อจะเหน็บแนมชาวยิวว่าหากคิดว่าตัวเองเหนือกว่าชนชาติอื่น ความคิดนั้นก็ไม่ต่างอะไรไปจากความคิดของซาตาน


You must be logged in to post a comment Login