วันเสาร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

“จตุพร”ชี้ พปชร.ไม่ใช่คู่แข่งหลับตาชกยังชนะ

On February 1, 2019

ที่พรรคเพื่อชาติ นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ หัวหน้าพรรค และแกนนำพรรคนายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตประธานรัฐสภา นายจตุพร พรหมพันธุ์ ในฐานะผู้สนับสนุนพรรค ร่วมกันแถลงนโยบายและเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส.ทั้งระบบเขต และบัญชีรายชื่อ รวม 500 คน อย่างเป็นทางการ

โดยนายยงยุทธ กล่าวปาฐกถาพิเศษ “บทเรียนกับการเลือกตั้งของประเทศไทย” ว่า ได้ข่าวว่าผู้สมัครพรรคหนึ่งจะไปเชิญนายกฯมาเป็นแคนดิเดตนายกฯ ทั้งที่ไม่เชียร์คนเขาก็รู้อยู่แล้ว ดังนั้น การเป็นกองเชียร์ของตน กับนายจตุพร ก็ไม่ผิด การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นความหวัง พี่น้องประชาชนเริ่มส่งเสียงสะท้อน ตนอยากให้ทุกท่านช่วยเหลือพี่น้องประชาชนไม่ว่าจะแพ้ หรือชนะ นอกจากนี้ พรรคเพื่อชาติเป็นพรรคที่ไม่มีเงิน ไม่รู้ว่าจะมีเงินช่วยเหลือหรือไม่ แต่ท่านก็ยังมานั่งอยู่ตรงนี้ วันนี้ประเทศไทยไม่มี “จอมพล” มีแต่ “พลเอก” ก็หวังว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะไม่มีการทุจริต หรือมีการโกงเกิดขึ้น วันนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วเพราะเทคโนโลยีทันสมัยขึ้น วิธีคิด การดำเนินการต่างๆเปลี่ยนไปแล้ว วันนี้ชัยชนะของเราขึ้นอยู่กับ 3 ประการ 1.ทิศทางของพรรค จะเอาเผด็จการหรือประชาธิปไตย และจะเอา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไหม 2.นโยบายแก้ปัญหาปากท้องหรือไม่ และ 3.คนของพรรคเพื่อชาติต้องทำหน้าที่ได้หลายอย่าง ไม่ใช่ไปนั่งคอแข็งเป็นเจ้านายในพื้นที่ เราต้องทำงานด้วยความขยันขันแข็ง วันนี้ท่านต้องเป็นส่วนหนึ่งของพรรค

ด้านนายจตุพร กล่าวว่า สนามการเลือกตั้งห่างมาร่วม 5 ปี นักการเมืองน้อยมากที่จะได้ลงพื้นที่ตามปกติ นี่จึงเป็นการเปิดโอกาสให้กับคนใหม่ๆ ทั้งนี้ กระแสพรรคเพื่อชาติ เป็นพรรคที่ประชาชนไม่รังเกียจ เขาเปิดประตูอ้าแขนรับ วันนี้เราต้องทำให้ประชาชนเข้าใจก่อน และเมื่อประชาชนเข้าใจแล้ว คะแนนจะตามมาเอง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราพยายามอธิบายหาทางออกให้กับชาติ เพื่อท้ายที่สุดเราจะคืนประชาธิปไตย วันนี้พปชร.แห่ขันหมากไปเชิญนายกฯที่ฉีกดอกกุหลาบว่าจะรับ-ไม่รับ อยู่ในทำเนียบ เพราะเป็นตำแหน่งที่น่าหนักใจ พล.อ.ประยุทธ์มีเวลาถึงวันที่ 8 ก.พ.แต่พรรคเพื่อชาติไม่ต้องคิดมาก นายสงคราม คนเดียวก็จบ 

อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นปรากฎการณ์ที่ไม่เหมือนเดิม เป็นบัตรเลือกตั้งใบเดียว ดังนั้นรวมกันแพ้ แยกกันชนะ ไม่ใช่การตัดคะแนนกัน นอกจากนี้ ต้องทำให้ประชาชนเข้าใจว่า หากเลือกพรรคเพื่อชาติแล้ว นอกจากจะได้ประชาธิปไตย แล้วยังได้แก้ไขปัญหาให้ชาติ และประชาชนด้วย พรรคนี้ไม่ได้สู้เพื่อวันนี้ แต่จะสู้เพื่อวันหน้า จะเป็นสถาบันทางการเมืองที่แข็งแรง สิ่งใดที่ได้ประกาศไว้กับประชาชนแล้วทำ พรรคการเมืองนั้นจะได้รับการยอมรับจากประชาชน แต่หากพรรคไหนพูดอย่างทำอย่างประชาชนจะลืมเลือน การเลือกตั้งครั้งนี้เดิมพันหมดหน้าตักกันหมด เราต้องชนะอย่างเดียวเท่านั้นจึงจะประสบความสำเร็จ เราต้องเดินให้สุด สู้กันจนหมดแรง ทุกปัญหาคือโอกาสทั้งสิ้น พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ไม่ใช่คู่แข่งของเรา แต่เป็นเพียงทางผ่านเท่านั้น เพราะคู่ชกที่ชกได้ง่ายที่สุดคือ พปชร. เท่านั้น ขนาดปิดตาชกยังชกถูก สถานการณ์เป็นความได้เปรียบของพรรคเพื่อชาติ แต่ยังยืนยันจุดยืนว่าพรรคจะเป็นเกาะกลาง เราสามารถพูดคุยกับใครก็ได้ แต่เราจะไม่เปลี่ยนจุดยืน พรรคเพื่อชาติคือพรรคที่จะมาล้มแชมป์เก่า เพื่อเป็นแชมป์คนใหม่ที่มารับใช้พี่น้องประชาชน

ทั้งนี้ พรรคได้เปิด 9 นโยบายของพรรคที่จะใช้นำเสนอในการเลือกตั้งครั้งนี้ ได้แก่ 1.นโยบายยกระดับสถานีอนามัยให้เป็นโรงพยาบาลตำบลที่มีความทันสมัย โดยพัฒนาสถานีอนามัยให้เป็นโรงพยาบาลประจำตำบล จัดให้มีเครื่องมือทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐาน และทันสมัยเหมือนโรงพยาบาลในตัวเมือง ซึ่งนโยบายนี้จะทำเป็นลำดับแรกหากได้เป็นรัฐบาล 2.นโยบาย 1 ตำบล 1 นักศึกษาแพทย์ 3. นโยบายโฉนดใบเดียวทั้งแผ่นดิน คือ การยกเลิกเอกสารสิทธิ์ ทุกประเภท อาทิ ส.ป.ก. นส.2 นส.3 และอื่นๆ ให้เหลือเพียงโฉนดเท่านั้น รวมถึงจะใช้มาตราส่วนเดียวกันในโฉนดทุกประเภทด้วย เพื่อลดปัญหาความขัดแย้ง และเพิ่มความเท่าเทียมกัน ให้กับเจ้าของโฉนดทุกคน ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาและสร้างความเท่าเทียมให้เกิดขึ้น พรรคเพื่อชาติจึงเสนอนโยบายให้เอกสารสิทธิ์ทุกฉบับ มีมาตราส่วนเดียวกัน ยึดตามมาตรฐานสากลเป็นหลัก และต้องทำสัญญาประชาคม ทำข้อตกลงร่วมกันเพื่อกำหนดการแบ่งที่ดินให้เหมือนกัน ทั้งเอกชนและรัฐ 

4.นโยบายยกเลิกการผูกขาดตัดตอน และยกเลิกสัมปทาน ที่กีดขวางการพัฒนาโอกาสของคนยากจน ภายใต้แนวคิด “ลดการผูกขาดทางการค้า เพิ่มโอกาสสร้างความมั่งคั่งให้ประชาชน” โดยจะบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวกับการผูกขาด อย่างเคร่งครัด 5.นโยบายปลอดภาษีรถยนต์ เพื่อการเกษตร และประมง โดยรถยนต์ในที่นี้ หมายถึงรถยนต์ทุกประเภท ที่ใช้เครื่องยนต์ มีล้อ เป็นพาหนะ พิสูจน์ได้ว่านำมาใช้เพื่อการเกษตรอย่างแท้จริง รัฐจะไม่คิดภาษี รวมไปถึงเครื่องจักรยนต์ทางการเกษตร เช่น รถไถนา รถอีแต๋น รถเกี่ยวข้าว และที่เกี่ยวข้องอื่นๆอีกด้วย 6.นโยบายเงินช่วยเหลือผู้สูงวัย 2,000 บาทต่อเดือน 

7.นโยบายการวางผังเมืองใหม่ ให้กลายเป็น Green and Clean City 8.นโยบายทลายกำแพงใจ จะส่งเสริมให้คนมีมิตรภาพ มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมากขึ้น ด้วยการส่งเจ้าหน้าที่เขต ใน กทม. หรือองค์กรส่วนท้องถิ่น เข้าไปจัดกิจกรรม ส่งเสริมความสัมพันธ์ของคนในชุมชน หมู่บ้านเดียวกัน ประชาสัมพันธ์ถึงประโยชน์ของการมีมิตรภาพที่ดีต่อกัน ทั้งนี้จะช่วยลดปัญหาหลายๆ ด้าน อาทิ ปัญหาด้านครอบครัว ปัญหาเด็ก ปัญหาอาชญากรรม และ 9. นโยบายราคาพืชผลทางการเกษตร พรรคมีแนวนโยบายที่จะทำให้สินค้าการเกษตรทุกตัวมีราคาดี กำหนดราคาสินค้าทางการเกษตรให้เหมาะสมกับสภาวะตลาด ดังนี้ ราคายางพารา ไม่ต่ำกว่า กก.ละ 80.00 บาท, ข้าวหอมมะลิ เกวียนละ 2 หมื่นบาท ราคาข้าวทั่วไป เกวียนละ 1.5 หมื่นบาท, ปาล์ม น้ำมัน 6.00 บาท/กก., อ้อย 900.00 บาท/ ตัน, มันสำปะหลัง 3.00 บาท/กก.


You must be logged in to post a comment Login