วันพฤหัสที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

บางกอกกล๊าส ตั้งเป้ารายได้ 20,000 ล้านบาท เติบโต 10-15% เน้นธุรกิจบรรจุภัณฑ์แก้วและวัสดุก่อสร้าง

On January 25, 2019

กลุ่มบางกอกกล๊าส แถลงผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัท โดยคาดว่าปี 2562 นี้ ทั้งกลุ่มจะมีรายได้รวม 17,000 ถึง 20,000 ล้านบาท ด้วยอัตราเติบโตสูงสุดในระดับ 10-15 เปอร์เซ็นต์ หลังจากปี 2561 ที่ผ่านมา เติบโตเพียงแค่ 4 เปอร์เซ็นต์ จากปัจจัยการเติบโตของตลาดที่คงที่ประกอบกับการลงทุนเพิ่มของกลุ่ม

นายปวิณ ภิรมย์ภักดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางกอกกล๊าส จำกัด (มหาชน) หรือ บีจี (BG) เผยว่า ปีที่ผ่านมา ถือเป็นปีที่ดีสำหรับกลุ่ม ได้มีการนำบริษัทในเครืออย่าง บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (มหาชน) หรือบีจีซี (BGC)  ดำเนินธุรกิจบรรจุภัณฑ์แก้ว  เข้าตลาดหลักทรัพย์ ผลที่ออกมาค่อนข้างบวก ราคาหุ้นยังคงอยู่สูงกว่าราคานำเสนอขายต่อประชาชนครั้งแรก(ไอพีโอ) อาจจะมีตกลงบ้าง ตามปกติที่นักลงทุนต่างชาติออกไปช่วงปลายปี แต่ต้นปีก็จะกลับเข้ามาใหม่ ด้วยความเชื่อมั่นในรากฐานที่แข็งแกร่งของธุรกิจที่ครองตำแหน่งผู้นำและมีกำลังการผลิตเป็นเบอร์ 1 ของประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน ด้วยอัตราการผลิต 3,495 ตันต่อวัน

ส่วนบริษัท บีจี โฟลต กล๊าส จำกัด หรือ บีจีเอฟ (BGF) ธุรกิจจัดจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง อยู่ในช่วงเริ่มต้นที่ดีเช่นกัน และแม้ว่าธุรกิจหลักจะเน้นวัสดุก่อสร้าง แต่ก็มีการขยายไปสู่ด้านอื่นๆ เช่น อะลูมิเนียม ชิ้นส่วนยานยนต์ และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมมองตลาดวัสดุก่อสร้างอื่นๆ เช่น พื้น กำแพง ฝ้าเพดาน เพิ่มเติม หวังลดความเสี่ยงจากการทำธุรกิจบรรจุภัณฑ์แก้ว นอกจากนี้ บริษัท บีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด หรือ บีจีพี (BGP)มีการซื้อธุรกิจผลิตฉลากเข้ามาต่อยอดจากที่ทำอยู่ พร้อมมองว่าปีนี้มีอะไรที่น่าสนใจเพิ่มเติม  แต่สำหรับบริษัท บีจี เอ็นเนอร์ยี่ โซลูชั่น จำกัด หรือ บีจีอี (BGE)ธุรกิจพลังงานทดแทน ไม่ได้มองการเติบโตแบบก้าวกระโดด เนื่องจากกลุ่มเป็นผู้เล่นรายใหม่แต่ยังคงมองหาโอกาสในธุรกิจนี้อย่างต่อเนื่อง

นายปวิณ ภิรมย์ภักดี มองว่า ธุรกิจที่โดดเด่นที่สุดของกลุ่ม คือ บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด(มหาชน) หรือ บีจีซี ซึ่งเตรียมเน้นการขยายตลาดส่งออก คาดว่าจะสร้างรายได้คิดเป็น 70 เปอร์เซ็นต์ รองลงมาคือ บริษัท บีจี โฟลต กล๊าส จำกัด หรือ บีจีเอฟ ที่เดินหน้าขยายธุรกิจไปในกลุ่มวัสดุก่อสร้างอื่นๆโดยปีที่ผ่านมาทำรายได้ 2,000 ล้านบาท และคาดว่า ในปี 2562 จะทำรายได้ประมาณ 4,000 ล้านบาท พร้อมหวังว่าภายใน 3 ปีรายได้จะเพิ่มขึ้นไปอยู่ในระดับ 5,000 หรือ 6,000 ล้านบาท และมีแผนที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในกรอบระยะเวลา 3-5 ปี ต่อมาคือ บริษัท บีจี แพคเกจจิ้ง จำกัดหรือ บีจีพี ดำเนินธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายบรรจุภัณฑ์อื่นๆโดยได้เพิ่มผลิตภัณฑ์ประเภทฉลากสินค้าเข้ามา และบริษัท บีจี เอ็นเนอร์ยี่ โซลูชั่น จำกัด หรือบีจีอี ที่ยังคงมองหาโอกาสในการลงทุนใหม่ๆ ด้านธุรกิจพลังงานทดแทน พร้อมคาดว่ารายได้ของทั้งกลุ่มในปีนี้ จะอยู่ที่ประมาณ 17,000 ถึง 20,000 ล้านบาท ด้วยอัตราการเติบโตสูงสุดเลขสองหลัก หรือประมาณ 10-15 เปอร์เซ็นต์ หลังจากปี 2561 ที่ผ่านมา ทางกลุ่มมีการลงทุนเพิ่มเติม เปิดโรงงานการผลิตใหม่ที่จังหวัดราชบุรี ประกอบกับการเติบโตของตลาดคงที่ ทำให้อัตราการเติบโตอยู่ที่ 4 เปอร์เซ็นต์

สำหรับทิศทางของปีนี้ ในส่วนของพลังงานทดแทนยังคงมองหาโอกาสใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องปีนี้มีความคาดหมายในด้านวัสดุก่อสร้างให้เติบโต ส่วนเรื่องของธุรกิจบรรจุภัณฑ์แก้วเน้นการส่งออกสัดส่วนปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ มีทั้งเมียนมา กัมพูชา สปป.ลาว เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย สเปน สวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี ส่วนตลาดภูมิภาคตะวันออกกลาง เรายังมองว่าความต้องการไม่สูงพอ

นอกจากนี้ นายปวิณ ภิรมย์ภักดี เผยความคาดหวังจากกรณีพ.ร.ฎ.เลือกตั้งที่ประกาศออกมา หากบรรยากาศมีความชัดเจนจะช่วยให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนภาพรวมปรับตัวดีขึ้น และช่วยทำให้เศรษฐกิจประเทศในภาพรวมจะปรับตัวดีขึ้นตามไปด้วย สิ่งที่ภาคเอกชนคาดหวังจากรัฐบาลคือ ความต่อเนื่องของนโยบายในการบริหารประเทศ เพราะจะเป็นประโยชน์ในด้านการวางแผนทำธุรกิจ 5 ปี ส่วนโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐที่เกิดขึ้นในขณะนี้เชื่อว่า จะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น อุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง และช่วยให้เกิดการจ้างงาน ทั้งยังเป็นสิ่งดีที่จะช่วยยกระดับการพัฒนาของประเทศได้ต่อไป


You must be logged in to post a comment Login