- ผ้าเหลืองห่อเปรตPosted 23 hours ago
- จงตั้งใจเรียนเพื่อพ่อแม่Posted 2 days ago
- อย่าใช้วิชามารPosted 5 days ago
- ต้องทบทวนให้ดีPosted 6 days ago
- นายจ้าง-ลูกจ้างต้องเอื้อกันPosted 7 days ago
- เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปPosted 1 week ago
- รับผลกรรมที่ได้กระทำPosted 1 week ago
- อีกไม่นานต้องจบPosted 2 weeks ago
- มาสนใจกีฬาให้ยาบ้าหายไปPosted 2 weeks ago
- ฝึกต้อนรับให้ดีจะมีสิ่งที่ดีPosted 2 weeks ago
“พิชัย”แนะทางฟื้นเศรษฐกิจหลังส่งออกติดลบ2เดือนซ้อน
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และประธานคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคไทยรักษาชาติ กล่าวว่า การส่งออกในเดือนธันวาคม 2561 ติดลบ 1.7% ซึ่งติดลบติดกันเป็นเดือนที่ 2 และติดลบเป็นครั้งที่ 3 ของปี ทำให้การส่งออกทั้งปีเหลือเพียง 6.7% ต่ำกว่าที่รัฐบาลคาดการณ์ที่ 8% ซึ่งเป็นสัญญาณชี้ว่าปีนี้การส่งออกก็ไม่น่าจะดีนัก ประกอบกับเศรษฐกิจในปีนี้ของประเทศจีน คู่ค้าสำคัญของไทย คาดว่าจะโตได้เพียง 6% ซึ่งจะต่ำสุดในรอบ 29 ปี อีกทั้งจีนยังคงต้องเผชิญกับสงครามการค้ากับสหรัฐที่มีแนวโน้มจะยืดเยื้อ นอกจากนี้ค่าเงินบาทที่แข็งค่ามากจากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งได้เคยเตือนและขอไว้แล้วว่าให้ชะลอไปก่อน จะยิ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย ดังนั้น รัฐบาลหลังการเลือกตั้งจะต้องเร่งสร้างความมั่นใจและดำเนินการฟื้นการส่งออกและฟื้นฟูเศรษฐกิจดังนี้
1.เร่งดำเนินการเจรจาเขตการค้าเสรีกับหลายประเทศ ทั้งพหุภาคีและทวิภาคี หลังจากที่รัฐบาลนี้ไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะไม่ใช่รัฐบาลจากระบอบประชาธิปไตย หลายประเทศไม่เจรจาด้วย ทำให้ไทยเสียโอกาสอย่างมาก เพราะไทยส่งออกผ่านเขตการค้าเสรีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ การไม่สามารถเจรจาเขตการค้าเสรีไม่ได้ส่งผลกระทบเฉพาะการส่งออกเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบอย่างมากถึงการลงทุนจากต่างประเทศด้วย เพราะนักลงทุนต่างประเทศไม่แน่ใจว่าถ้ามาลงทุนในประเทศไทยจะโดนเก็บภาษีในอัตราที่สูงกว่าประเทศคู่แข่งไหม จึงย้ายไปลงทุนประเทศอื่น ทำให้การลงทุนจากต่างประเทศของไทยหายไปอย่างมากตลอดเกือบ 5 ปีนี้ และจะส่งผลถึงการส่งออกของไทยในอนาคตด้วย
2.เร่งสอบถามและเร่งรัดให้บริษัทต่างๆที่ขอส่งเสริมการลงทุนค้างไว้จำนวนมาก ซึ่งน่าจะมียอดการลงทุนค้างอยู่เป็นล้านล้านบาท ให้เริ่มลงทุน (ถ้าหากบริษัทเหล่านั้นยังไม่ได้ย้ายไปลงทุนในประเทศอื่น) โดยเสนอให้ความสะดวกและให้การสนับสนุนในทุกด้าน
3.เร่งเจรจากับนักลงทุนต่างประเทศจากประเทศที่สำคัญ เช่น ญี่ปุ่น อียู สหรัฐ ฯลฯ เพื่อแจ้งให้ทราบว่าประเทศกลับสู่ระบอบประชาธิปไตยแล้ว และพร้อมสนับสนุนการลงทุนจากต่างประเทศในทุกด้าน รวมถึงการแก้ไขกฏระเบียบที่เป็นอุปสรรคในการลงทุน อีกทั้งแก้ไขข้อจำกัดต่างๆจากดัชนีความสะดวกในการลงทุนที่เพิ่มขึ้นของรัฐบาลนี้
4.ขอความร่วมมือจากธนาคารแห่งประเทศไทยให้พิจารณาอย่าเพิ่งขึ้นดอกเบี้ยนอกจากจะมีความจำเป็นจริงๆเท่านั้น โดยอยากเห็นค่าเงินบาทที่อ่อน เพื่อสนับสนุนการส่งออกในภาวะที่ประเทศไทยต้องฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ตกต่ำต่อเนื่องมาหลายปีติดกัน
นี่เป็นเพียงบางมาตรการเริ่มต้นในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ทรุดหนักมาหลายปี โดยมุ่งเน้นการฟื้นฟูการส่งออกและการลงทุนจากต่างประเทศที่เป็นปัญหามาตลอดหลังการปฏิวัติ และอยากให้รัฐบาลหลังการเลือกตั้งพิจารณานำไปใช้ปฏิบัติไม่ว่าใครจะชนะการเลือกตั้ง แต่หากเป็นรัฐบาลเดิมกลับมาบริหารประเทศอีกอาจจะไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นและฟื้นความมั่นใจได้ ทั้งนี้ จะนำเสนอแนวทางการฟื้นเศรษฐกิจในด้านอื่นๆต่อไป
You must be logged in to post a comment Login