วันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

ต้องแยกแยะ / โดย พระพยอม กัลยาโณ

On May 29, 2018

คอลัมน์ : สำนักข่าวพระพยอม

ผู้เขียน : พระพยอม กัลยาโณ

ช่วงนี้ถือว่าช็อกวงการสงฆ์ เรื่องมันแปลกที่พระเถระผู้ใหญ่โดนทีเดียวหลายรูป เรียกว่างานเข้าอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แล้วยังมาเกิดเรื่องหยุมหยิมซึ่งไม่น่าจะมีคือ พระที่จังหวัดสิงห์บุรีไปขโมยพระพุทธรูป ต้องเรียกว่าตอนนี้ฝีแตกกันระนาว อดีตพระมิตซูโอะฟ้องเมีย ศาลก็ยกฟ้อง เพราะถือว่าทรัพย์ให้โดยเสน่หา เงินทองที่ได้จากการบวชมาจากไหนบ้างก็ไม่รู้ สุดท้ายก็อันตรธานหายไปหมด

จะเรียกเป็นยุคร่วมสมัย “โกงบ้าระห่ำ” ก็แล้วแต่จะเรียก ขนาดวงการสงฆ์ยังมีเรื่องฟอกเงิน โกงเงิน มีเงินทอนวัด งานนี้พระผู้ใหญ่ 3 รูปโดนจับสึก ส่วนความรู้สึกของญาติโยมที่วิพากษ์วิจารณ์ก็แปลกดี เพราะมีพระระดับชั้นสมเด็จ ระดับชั้นพรหมถูกจับถูกสึก มันก็น่าคิดอยู่เหมือนกัน ทำไมลูกศิษย์พระผู้ใหญ่ไม่ร้องห่มร้องไห้ระทมตรมทุกข์ ไม่รักครูบาอาจารย์กันแล้วหรือไง หรือมีเบื้องหลังอะไร

พระที่โด่งดังตั้งแต่สมัยยันตระ ภาวนาพุทโธ นิกร จนมาถึงเณรคำ เราจะเห็นว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่ร้องห่มร้องไห้เพราะความรัก ความเคารพศรัทธา เรื่องของศรัทธาต้องประกอบด้วยวิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เป็นพละ เมื่อชาวพุทธไม่มีพลังจะต้านความทุกข์ เหลือแค่ศรัทธาข้อเดียวมันก็ต้านไม่อยู่ เผลอๆศรัทธาตัวเดียวจะสร้างทุกข์ให้ด้วยซ้ำไป เราจึงเห็นลูกศิษย์ลูกหาร้องห่มร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรชนิดที่อยากจะตายแทนครูบาอาจารย์กันเลย

เลยนึกถึงการใช้ตำรวจบุกจู่โจมจับนายสุวิทย์หรืออดีตพุทธะอิสระที่หลายคนเห็นว่าไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้น อาจเพราะเคยมีบทเรียนวัดพระธรรมกายที่ลูกศิษย์ลูกหามาล้อมปกป้อง เลยต้องใช้วิธีจู่โจมจับกุมกันตั้งแต่เช้าตรู่ยังไม่ตื่น ขนาดเข้าไปยังงัวเงีย ทำให้มีคนบอกว่าน่าจะฉันยานอนหลับเลยหลับลึก ส่วนญาติโยมที่เป็นแฟนพันธุ์แท้อดีตพุทธะอิสระก็เชียร์กันไปทั้งทีวีและทางโซเชียลมีเดีย ตำหนิรัฐบาล คสช. จน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ต้องออกมาขอโทษและตำหนิตำรวจที่ปฏิบัติการเกินกว่าเหตุ

เรื่องศรัทธาแล้วเชียร์กันเกินไปบางครั้งก็ทำให้ยิ่งทุกข์ ทำให้ใจเกิดความโกรธเกลียด เพราะใจไม่สงบ เรื่องแบบนี้ต้องทำใจให้นิ่งและอยู่ในทางสายกลาง ความจริงตำรวจก็ไม่ได้ทำอะไรรุนแรงหรอก ถ้าไปดูในประวัติเก่าของพุทธศาสนาครั้งรัฐบาลพม่าฆ่าพระเป็นศพเกลื่อนแม่น้ำ อดีตพุทธะอิสระไม่ได้จับไปฆ่า แต่นำตัวไปดำเนินคดีไปสู้กันทางกฎหมาย ถ้ามีหลักฐานที่ต่อสู้ชี้แจงได้ก็พ้นโทษพ้นภัย เหมือนพระพิมลธรรมกลับมาบวชใหม่ได้ ไม่ถึงกับปาราชิกแบบเสพเมถุน หรือฆ่าคนตาย หรืออวดอุตริ

เพราะฉะนั้นเราชาวพุทธต้องรู้จักแยกแยะ ไม่ใช่ไหลไปตามสถานการณ์จนศรัทธาโดยไม่คิดถึงพระศาสนา หลักธรรมคำสอนที่เป็นหลักการสำคัญ แม้พระจะเสื่อมแต่ศาสนาไม่ได้เสื่อม คนนี่แหละเสื่อมจากศาสนา เราจึงต้องแยกแยะเรื่องของศรัทธา เรื่องของทุกข์และการหลุดพ้น ความเบาเย็นสบาย ชีวิตก็จะไม่ระทมตรมทุกข์ จะเห็นทันทีว่าศาสนาเป็นของวิเศษ เหมือนอยากจะกินผลไม้ กินแล้วก็เกิดมรรคผล ไม่หลุดหล่น ไม่ฉีก ไม่พลัดตกลงมา เราจึงต้องปีนต้นไม้เพื่อให้ได้ผลไม้ ไม่ใช่มีข่าวพระในทางไม่ดี พระแย่แล้ว เลยเลิกนับถือศาสนา อันนี้ถือว่าเอาความไม่ดีของคนอื่นมาปล้นความดีของตนเอง มาฆ่าความดีของตนเอง ไม่ควรจะให้เป็นเช่นนั้น

เจริญพร


You must be logged in to post a comment Login