วันพุธที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

วิญญาณขาออก

On May 23, 2018

คอลัมน์สันติธรรม “วิญญาณขาออกไ

โดย บรรจง บินกาซัน

(โลกวันนี้วันสุข วันที่ 25 พฤษถาคม-1  มิถุนายน)

มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มี 2 มิติคือ ร่างกายและวิญญาณ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์บอกให้เรารู้เมื่อไม่นานมานี้ว่า กว่ามนุษย์จะเป็นตัวตน มนุษย์เริ่มต้นชีวิตด้วยการเป็นก้อนเลือดก่อนโดยการที่ตัวสเปิร์มในน้ำอสุจิปฏิสนธิกับไข่ในครรภ์ของมารดา หลังจากนั้นก้อนเลือดจะค่อยๆพัฒนาขึ้นเป็นก้อนเนื้อโดยที่ยังไม่มีกระดูก ก้อนเลือดจากการแท้งของหญิงที่ตั้งครรภ์ในช่วง 2 เดือนแรกเป็นสิ่งยืนยันเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี

ก้อนเลือดจะพัฒนาต่อไปเป็นมนุษย์มีชีวิตออกมาดูโลกได้ก็ต่อเมื่อมีวิญญาณ เราไม่ปฏิเสธวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ให้ความรู้ทางด้านกายภาพของมนุษย์เมื่อไม่นานมานี้ แต่ความรู้ทางด้านวิญญาณอยู่นอกขอบเขตอาณาจักรทางวิทยาศาสตร์ การหาความรู้ทางด้านนี้จึงต้องอาศัยศาสนาที่มาจากพระเจ้าผู้สร้างชีวิตมนุษย์ทั้งร่างกายและวิญญาณ แต่เนื่องจากวิญญาณเป็นสิ่งเหนือประสาทสัมผัสทั้งห้า การจะได้รับความรู้เรื่องวิญญาณจึงต้องมีความเชื่อทางศาสนา

shroud

ก่อนหน้านี้ผมเคยพูดไปแล้วว่านบีมุฮัมมัดได้ให้ความรู้แก่โลกเมื่อประมาณ 1,400 กว่าปีก่อนว่าวิญญาณเข้ามาในก้อนเนื้อที่อยู่ในครรภ์หลังการปฏิสนธิของตัวสเปิร์มกับไข่ในมดลูกได้ 120 วัน หลังจากนั้นอีก 5 เดือน ทารกมนุษย์ก็เป็นชีวิตที่มีวิญญาณและร่างกายออกมาดูโลก

แม้วิญญาณกับร่างกายจะสนิทชิดเชื้อกันมาตั้งแต่ในครรภ์ แต่โลกนี้เป็นที่อยู่เพียงชั่วคราวของชีวิต เมื่อถึงเวลาหนึ่งซึ่งแต่ละคนไม่รู้ว่าเวลาใด วิญญาณจะจากร่างกายไปโดยไม่มีอำนาจใดๆมาหยุดยั้งได้ เพราะวิญญาณไม่ได้เป็นของมนุษย์ แต่เป็นของพระเจ้าที่จะเอากลับคืนเมื่อใดก็ได้ที่พระองค์ต้องการโดยไม่เลือกว่าต้องเป็นวัยชราเท่านั้น

นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมคำสอนของอิสลามจึงบัญญัติว่าเมื่อได้ยินข่าวเคราะห์กรรมหรือความตาย มุสลิมต้องกล่าวยอมรับความจริงว่า “อินนาลิลลาฮฺ วะอินนาอิลัยฮิรอญิอูน” ซึ่งแปลว่า “แท้จริงเราเป็นของพระเจ้า และยังพระองค์ที่เราจะกลับไป”

มนุษย์รู้ว่าความตายเกิดขึ้นเมื่อวิญญาณออกจากร่างของมนุษย์ไป แต่วิญญาณออกจากร่างมนุษย์ไปอย่างไรเป็นเรื่องที่เกินขอบเขตของวิทยาศาสตร์ แต่นบีมุฮัมมัดได้ให้ความรู้ในเรื่องนี้ไว้ว่า เมื่อความตายของมนุษย์คนใดมาถึง พระเจ้าจะส่งทูตสวรรค์ที่ทำหน้าที่ปลิดวิญญาณหรือที่ภาษาไทยเรียกว่ายมทูตมาเอาวิญญาณของมนุษย์คนนั้น

แม้ทูตสวรรค์จะทำหน้าที่เป่าวิญญาณเข้ามาในตัวของมนุษย์ในสภาพที่เหมือนกันหมด แต่ในตอนที่ยมทูตมาเอาวิญญาณออกจากร่างของมนุษย์ สภาพการออกไปของวิญญาณจะต่างกัน นบีมุฮัมมัดได้ให้ความรู้เรื่องนี้ว่า วิญญาณที่ศรัทธาในพระเจ้าและกระทำความดีจะถูกดึงออกจากร่างอย่างสบายเหมือนน้ำที่ไหลรินเป็นสายออกจากพวยกา และยมทูตจะมีผ้าสีขาวที่มีกลิ่นหอมมารับไป ส่วนวิญญาณของคนทำชั่วจะถูกดึงออกจากร่างเหมือนกับไม้หรือเหล็กย่างเนื้อที่เสียบเข้าไปในสำลีและถูกดึงออกมา และยมทูตจะเอาผ้าสีดำที่มีกลิ่นเหม็นมารับไป

วิญญาณที่ดีและชั่วเมื่อถูกรับมาจากร่างมนุษย์แล้วจะถูกนำขึ้นสู่ชั้นฟ้าต่างๆเพื่อนำไปรายงานต่อพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของวิญญาณ หลังจากนั้นวิญญาณจะถูกนำกลับมายังโลกนี้อีกครั้งหนึ่ง และวิญญาณจะเห็นการอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายของตน ด้วยเหตุนี้การอาบน้ำศพตามหลักศาสนาอิสลามจึงต้องทำอย่างปกปิดมิดชิด เพราะวิญญาณมีความละอายเหมือนกับตอนที่ยังอยู่ในร่างกาย

เมื่อศพถูกนำไปฝังแล้ว วิญญาณจะอยู่ในโลกที่เรียกว่า “บัรฺซัค” ซึ่งเป็นโลกที่คั่นกลางระหว่างโลกนี้กับโลกหน้า เมื่อผู้คนที่มาฝังศพกลับไปเรียบร้อยแล้ว ทูตสวรรค์ 2 องค์จะถูกส่งมาสอบสวนวิญญาณเบื้องต้นก่อน คำตอบที่ได้ตรงนี้จะทำให้วิญญาณรู้แล้วว่าชะตากรรมของตัวเองจะเป็นอย่างไรเมื่อถูกทำให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาเพื่อเข้าสู่กระบวนการพิพากษาโดยพระเจ้าหลังวันสิ้นโลก


You must be logged in to post a comment Login