วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2567

ปาฏิหาริย์ต่างกันตรงไหนกับไสยศาสตร์?

On March 29, 2018

คอลัมน์: สันติธรรม “ปาฏิหาริย์ต่างกันตรงไหนกับไสยศาสตร์”

โดย บรรจง บินกาซัน (โลกวันนี้วันสุข วันที่ 30 มีนาคม-6 เมษายน 2561)

 

ปาฏิหาริย์กับไสยศาสตร์แม้บางมุมจะดูเหมือนกัน แต่เมื่อมองลึกลงไปและไตร่ตรองให้รอบคอบจะเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน

ปาฏิหาริย์ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานหมายถึง สิ่งที่วิสัยชนสามัญไม่สามารถทำได้ ร่างทรงที่ถูกของแหลมทิ่มแทงแก้มข้างหนึ่งทะลุแก้มอีกข้างหนึ่งหรือถูกตะขอแหลมเกี่ยวแผ่นหลังโดยไม่รู้สึกเจ็บดูเหมือนปาฏิหาริย์ แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ มันคือไสยศาสตร์ ซึ่งเป็นศาสตร์แห่งเวทมนตร์ที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากสิ่งเร้นลับอีกทีหนึ่ง ไสยศาสตร์จึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากน้ำมือของมนุษย์และสามารถทำซ้ำได้ แต่ปาฏิหาริย์เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้

Moses-and-Aaron

ความจริงแล้วเราพบปาฏิหาริย์มากมายและบ่อยยิ่งกว่าไสยศาสตร์ด้วยซ้ำไป แต่เพราะปาฏิหาริย์เกิดขึ้นบ่อยครั้ง เราจึงเห็นเป็นเรื่องธรรมดาและไม่เคยคิด

ตัวอย่างของปาฏิหาริย์อันยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งที่เราพบคือ น้ำนมแม่ ทุกวันนี้แม้วิทยาศาสตร์โภชนาการจะเจริญก้าวหน้าเพียงใด แต่วิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถทำน้ำนมที่มีคุณสมบัติเหมือนน้ำนมแม่แท้ๆได้ และน้ำนมแม่จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อผู้หญิงตั้งครรภ์เท่านั้น ไม่มีผู้หญิงคนใดในโลกที่สามารถทำให้เต้านมของตัวเองมีน้ำนมขึ้นมาตามความต้องการของตัวเอง ไสยศาสตร์ก็ไม่สามารถทำได้เช่นกัน เพราะน้ำนมคืออาหารทิพย์ที่พระเจ้าประทานแก่ทารกเป็นการเฉพาะในฐานะความเมตตาของพระเจ้า

                ตัวอย่างดังกล่าวจึงบอกให้รู้ว่าปาฏิหาริย์กับไสยศาสตร์ต่างกันอย่างสำคัญตรงที่มา คนสมัยใหม่ที่คลั่งไคล้วิทยาศาสตร์มองไสยศาสตร์ว่าเป็นความงมงาย และมองปาฏิหาริย์ว่าเป็นธรรมชาติ แต่เมื่อขอให้อธิบายคำว่าธรรมชาติ คำอธิบายนั้นกลับไม่สามารถสาวลึกไปถึงต้นตอของธรรมชาติ

ในคำสอนของทุกศาสนามีเรื่องราวปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกับบุคคลที่พระเจ้าเลือกสรรให้มาตักเตือนและชี้แนวทางการใช้ชีวิตแก่มนุษย์ ในภาษาอาหรับเรียกบุคคลผู้ทำหน้าที่นี้ว่านบีหรือศาสนทูต แต่ใครเล่าจะเชื่อว่าผู้ที่พระเจ้าส่งมานั้นมาจากพระเจ้าจริงๆ ดังนั้น จึงไม่แปลกแต่ประการใดที่ศาสนทูตของพระเจ้าจะได้รับปาฏิหาริย์เป็นหลักฐานยืนยัน ไม่ต่างอะไรกับหมอที่จะต้องมีใบปริญญาและใบประกอบโรคศิลปะยืนยันความน่าเชื่อถือ

ฟาโรห์เคยตั้งตัวเป็นพระเจ้าแห่งไอยคุปต์ โมเสสจึงถูกพระเจ้าส่งไปตักเตือนฟาโรห์ว่าเขาเป็นมนุษย์ ไม่ใช่พระเจ้า แต่ฟาโรห์กลับปฏิเสธ พระเจ้าจึงสั่งให้โมเสสโยนไม้เท้าลงไปบนพื้นต่อหน้าฟาโรห์ ไม้เท้าของโมเสสกลายเป็นงูใหญ่ ปาฏิหาริย์นี้คือหลักฐานที่โมเสสนำมายืนยันว่าเขามาจากพระเจ้า แต่ฟาโรห์กลับมองว่าสิ่งที่โมเสสทำคือไสยศาสตร์ เพราะในอียิปต์มีนักมายากลและนักไสยศาสตร์มากมายที่สามารถทำเหมือนโมเสสได้ เขาจึงท้าทายโมเสสให้ประลองวิชากับนักไสยศาสตร์ของเขา

ในวันประลองเมื่อนักไสยศาสตร์ของฟาโรห์โยนเชือกลงไปบนพื้นและกลายเป็นงูตัวเล็กๆ พระเจ้าได้สั่งให้โมเสสโยนไม้เท้าลงไปอีกครั้ง ไม้เท้านั้นกลายเป็นงูใหญ่ทำลายงูเล็กๆเหล่านั้นจนหมด เมื่อเห็นดังนั้นนักไสยศาสตร์ของฟาโรห์ต่างยอมรับว่าสิ่งที่โมเสสนำมาแสดงนั้นไม่ใช่ไสยศาสตร์ แต่เป็นปาฏิหาริย์ของพระเจ้าจริงๆ และทุกคนยอมศรัทธาในพระเจ้าของโมเสส แต่ถึงกระนั้นฟาโรห์ก็ยังไม่ยอมเชื่อ การปฏิเสธทั้งๆที่เห็นหลักฐานชัดเจนแล้วนี่เองที่ทำให้เขาต้องจบชีวิตอย่างน่าอนาถ

พระเยซูเกิดในยุคที่อาณาจักรโรมันมีอารยธรรมความเจริญทางวัตถุ ผู้คนมักปฏิเสธเรื่องพระเจ้า พระเยซูจึงได้รับปาฏิหาริย์บางอย่างเป็นหลักฐานยืนยันว่าท่านมาจากพระเจ้าจริง เช่น ความสามารถในการรักษาโรคเรื้อน สามารถรักษาคนตาบอดให้มองเห็น สามารถทำให้คนตายฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง สามารถปั้นดินให้เป็นนกที่มีชีวิตได้ เป็นต้น

                นบีมุฮัมมัดเกิดในสังคมอาหรับที่ผู้คนทะนงในภาษาและมีนิสัยหยาบกระด้าง ท่านได้รับปาฏิหาริย์มากมายหลายอย่างเพื่อมายืนยันกับชาวอาหรับว่าท่านมาจากพระเจ้าเช่นเดียวกัน แต่ปาฏิหาริย์เหล่านั้นเกิดขึ้นแล้วก็หมดไป และท่านไม่สามารถทำขึ้นมาเองได้ถ้าพระเจ้าไม่อนุมัติให้เกิดขึ้น แต่มีปาฏิหาริย์อย่างหนึ่งซึ่งเป็นสิ่งมหัศจรรย์และยังมีอยู่ให้เห็นจนทุกวันนี้และจะอยู่ไปจนถึงวันสิ้นโลก นั่นคือคัมภีร์กุรอานที่ท่านไม่ได้เป็นคนเขียน ไม่มีใครอ้างว่าเป็นผู้เขียน และไม่เคยมีการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลง

658


You must be logged in to post a comment Login