วันพฤหัสที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2567

แปลกแต่จริง‘คดีฟอกเงินกรุงไทย’ / โดย น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ

On October 5, 2017

คอลัมน์ : โดนไป บ่นไป
ผู้เขียน : ..อนุดิษฐ์ นาครทรรพ

การไปเยือนประเทศสหรัฐอเมริกาของท่านผู้นำสูงสุดและคู่สมรสพร้อมเหล่าบริวารจะสามารถสร้างประโยชน์ให้กับประเทศไทยได้ขนาดไหน อีกไม่นานคงเห็นผล แต่อ่านข่าวที่เสนอโดยสื่อมวลชนและชมวิดีโอการสนทนาก็ได้แต่หวังว่าข่าวลือเรื่องการซื้อเครื่องบินโบอิ้ง เฮลิคอปเตอร์แบล็กฮอว์ค ขีปนาวุธฮาร์พูน ตลอดจนเนื้อหมู เนื้อไก่งวง จะเป็นเพียงแค่เรื่องที่หลายคนพยายามนำข้อมูลไปขยายความกันเอง

เพราะการพบกันของพญาอินทรีผู้มีทัศนคติแบบอนุรักษ์นิยมขวาสุดโต่งกับท่านผู้นำสูงสุดของไทยเป็นอะไรที่เข้ากันจริงๆ เหมือนเอาขนมปังปิ้งทาด้วยน้ำพริกนรกที่ให้รสชาติสุดล้ำสำหรับผู้ที่มีรสนิยมชอบของแปลก แต่ที่แน่ๆผมเห็นท่านผู้นำสูงสุดผงกหัวหงึกๆ ปากก็ส่งเสียงคำว่า “เยสๆ” ออกไป หลังจากได้ยินผู้นำสหรัฐพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ผมคิดว่าเราจะพยายามขายของให้กับคุณมากขึ้นด้วยนะครับ”

เศรษฐกิจแบบนี้ ขายของให้สหรัฐได้มากขึ้นน่าจะดีกว่าไปซื้อของจากเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการซื้อของที่ไม่สามารถเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ เช่นอาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหาร แม้อาวุธที่ผลิตในสหรัฐจะขึ้นชื่อว่ามีคุณภาพดีก็ตาม แต่นาทีนี้ขาดดุลการค้าให้น้อยเข้าไว้น่าจะดีที่สุด

อย่างไรก็ดี ขออนุญาตยกเว้น “เรือเหาะ” ราคา 300 กว่าล้านที่เพิ่งปลดประจำการไปเป็นที่เรียบร้อย เพราะเจ้า “เรือเหี่ยว” แม้จะผลิตในสหรัฐ แต่คุณภาพการใช้งานที่ผ่านมาน่าผิดหวังจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าประเทศที่มีความสามารถในการผลิตขั้นเทพแบบนี้จะผลิตของออกมาต่ำกว่ามาตรฐาน แต่ก็ไม่แน่บางทีเรือเหาะลำนี้อาจจะบินได้ตามมาตรฐานที่สั่งก็เป็นไปได้ แต่พอประกอบอุปกรณ์ทางทหารเข้าไปเลยทำให้น้ำหนักเกินจนบินได้ไม่สูงพอจะไปปฏิบัติภารกิจทางยุทธวิธีได้

ซื้อของมาแล้วใช้งานไม่ได้ก็ไม่เป็นไร อาจเป็นยุทธการ “กุ้งฝอยตกปลากะพง” ก็ได้ใครจะไปรู้ เพราะซื้อแล้วก็นำมาเก็บไว้เท่ๆ โรงจอดก็สร้างขึ้นมาเท่ๆ การซื้อเรือเหาะครั้งนั้นอาจมีเบื้องลึกเบื้องหลังเกินกว่าที่คนธรรมดาอย่างเราจะหยั่งรู้ และอาจเป็นยุทธศาสตร์ลึกล้ำที่คิดขึ้นมาจากมันสมองชั้นเลิศของใครบางคนที่ต้องการสร้างความเจริญให้กับประเทศชาติก็เป็นได้

แม้ว่าประชาชนทุกคนจะรู้ว่าใช้งานไม่ได้ แต่หน่วยงานตรวจสอบทั้งหลายก็ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าจัดซื้อมาอย่างถูกต้อง จึงเชื่อได้ว่าคงไม่ได้ถูกซื้อมาเพื่อวัตถุประสงค์ในการบินอย่างเดียว ดันมีคนไปเรียกเจ้าอุปกรณ์นี้ว่า “เรือเหาะ” ถ้าบอกตั้งแต่แรกว่าเป็น “เรือจอด” ป่านนี้รับรองเรื่องเงียบ!

ก็ว่ากันไปนะครับ เพราะที่จริงแล้ว “เรือเหาะ” ก็ไม่ใช่ยุทโธปกรณ์เพียงแบบเดียวที่ถูกซื้อมาเก็บหรือถูกซื้อมาทิ้งในคลังอาวุธหรือคลังเก็บอุปกรณ์ของหน่วยงานต่างๆ ผมเชื่อว่าคงมี “ของเหลือใช้” ทิ้งอยู่มากมาย ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องแก้ไข แต่วันนี้เมื่อเจ้าของเงินภาษีตัวจริงยังเลือกตัวแทนไปบริหารประเทศไม่ได้ ก็ได้แต่หวังว่าการจัดซื้อครั้งต่อไปของกองทัพหรือหน่วยงานราชการอื่นๆ ผู้มีอำนาจจะสามารถจัดหาอุปกรณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

สำหรับสัปดาห์นี้ผมตั้งใจจะนำคดีฟอกไม่ฟอกเงินของ “โอ๊ค-พานทองแท้ ชินวัตร” มาบ่นให้ฟังเป็นการปูพื้น เชื่อว่าเรื่องนี้คงไม่จบง่ายๆ และคงมีกระบวนการแปลกประหลาดพิสดารหลากหลายรูปแบบเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะเมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ผ่านมาจะพบว่าเรื่องนี้มีความไม่สมเหตุสมผลอยู่หลายประการ

ก่อนอื่นต้องออกตัวก่อนว่าผมไม่บังอาจกล่าวหาว่าใครถูกผิดทั้งสิ้น แต่สิ่งที่จะเล่าให้ฟังเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่าเป็นเรื่องที่ถูกดำเนินการอย่างไม่ปรกติ เพราะพฤติกรรมที่ผ่านมาก่อนหน้านี้มีเรื่องให้ชวนสงสัยตลอดทาง เริ่มตั้งแต่ผู้บริหารกลุ่มบริษัทกฤษดามหานครไปขอรีไฟแนนซ์กับธนาคารกรุงไทยเพื่อนำไปใช้หนี้ธนาคารกรุงเทพ ซึ่งรวมเงินต้นและดอกเบี้ยมียอดหนี้สูงถึง 14,348 ล้านบาท

ต่อมามีการปรับโครงสร้างหนี้โดยธนาคารกรุงเทพยื่นข้อเสนอว่า หากนำเงินมาชำระหนี้ได้ทันตามกำหนดจะลดหนี้ทั้งต้นและดอกเหลือเพียง 4,500 ล้านบาท ในที่สุดธนาคารกรุงไทยก็ปล่อยกู้กลุ่มกฤษดามหานครจำนวนเงินเกือบหมื่นล้าน โดยได้รับที่ดินกว่า 4,000 ไร่แถวสนามบินสุวรรณภูมิเป็นทรัพย์ค้ำประกัน

จากนั้นกฤษดามหานครก็นำเงินไปชำระหนี้ธนาคารกรุงเทพ 4,500 ล้านบาทตามข้อตกลง ส่วนเงินอีกก้อนมียอดสูงถึง 3,500 ล้านบาท ผู้บริหารกฤษดามหานครนำไปกระจายทำธุรกรรมต่างๆจำนวนมาก เป็นสาเหตุให้ธนาคารแห่งประเทศไทยตั้งข้อสังเกตว่าการปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทยให้กฤษดามหานครนำไปชำระหนี้ธนาคารกรุงเทพนั้นมีความไม่ชอบมาพากลและอาจผิดกฎหมาย จึงตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบ

หลังการปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 มีการตั้งคณะกรรมการ คตส. มาดำเนินการตรวจสอบรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร โดยนำเรื่องนี้มาตรวจสอบต่อและมีความเห็นว่านายกฯทักษิณเป็นผู้สั่งการให้บอร์ดกรุงไทยอนุมัติเงินกู้ก้อนนี้ ต่อมาจึงส่งฟ้องนายกฯทักษิณและผู้เกี่ยวข้องบางคน (บางคนก็ไม่โดนฟ้อง) ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในที่สุดศาลวินิจฉัยว่ามีการกระทำความผิดและสั่งจำคุกผู้เกี่ยวข้องเกือบทั้งหมด

ผมเล่าแบบย่อๆแล้วถามว่า “โอ๊ค” เข้ามาเกี่ยวข้องตอนไหน คำตอบคือ หลังจากมีการชำระหนี้ให้ธนาคารกรุงเทพแล้ว เงินที่เหลือ 3,500 ล้านบาทนั้น นายรัชฎา กฤษดาธานนท์ บุตรชายของนายวิชัย กฤษดาธานนท์ ผู้บริหารกฤษดามหานคร และเป็นเพื่อนสนิท “โอ๊ค” ได้ไปขอเงินพ่อคือนายวิชัยจำนวน 10 ล้านบาท เพื่อมาลงทุนทำธุรกิจรถนำเข้ากับ “โอ๊ค” ในปี 2547

ต่อมามีอุปสรรคในการทำธุรกิจ “โอ๊ค” จึงโอนเงินจำนวน 10 ล้านบาทคืนให้นายรัชฎา (เงิน 10 ล้านบาทไม่เกี่ยวข้องกับกรรมการบริหารของกฤษดามหานคร เนื่องจากนายรัชฎาไม่ได้เป็นกรรมการบริหารกฤษดามหานคร) แต่เรื่องไม่จบ เมื่อต่อมามีการรวม “โอ๊ค” เข้าไปว่าอาจเป็นตัวการร่วมกับนายวิชัยในการฟอกเงิน เนื่องจากมีการรับเช็คในชื่อของนายวิชัยมา

ในส่วนนี้ ปปง. ระบุว่า การจ่ายเช็คไม่มีขั้นตอนในส่วนที่นายรัชฎารับเงินจากพ่อมาให้ “โอ๊ค” เท่ากับ “โอ๊ค” รับเช็คตรงจากนายวิชัยนั่นเอง ตรงนี้ทำให้มองได้ว่าเงิน 10 ล้านบาทน่าจะผิดในข้อหาฟอกเงินด้วย ขณะที่ “โอ๊ค” ก็แสดงพยานหลักฐานชัดเจนว่าเจตนาการโอนเงินเพื่อทำธุรกิจนำรถเข้า และเช็ค 10 ล้านบาทที่จ่ายให้ “โอ๊ค” เป็นเวลาภายหลังที่กฤษดามหานครได้กู้เงินจากธนาคารกรุงไทยมาแล้วถึง 6 เดือน ซึ่งภายหลังได้คืนเงินก้อนนี้กลับไปทั้งหมดอีกด้วย

ที่ประหลาดและทำให้หลายฝ่ายสงสัยคือ เงิน 3,500 ล้านบาทที่กฤษดามหานครนำไปใช้จ่ายนั้นมีนิติกรรมเกี่ยวข้องกับคนกว่า 200 คน แต่กว่า 200 คนที่ว่ากลับไม่ถูกตั้งคณะกรรมการสอบและไม่มีการเรียกมารับทราบข้อกล่าวหาเลย มีเพียงคนที่เกี่ยวข้องกับตระกูลชินวัตร 5 คนเท่านั้นที่โดนข้อกล่าวหา

เรื่องนี้แม้แต่นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน ต้องไปยื่นร้องต่อดีเอสไอเพื่อให้ตรวจสอบธุรกรรมการเงินและดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดในคดีปล่อยกู้ธนาคารกรุงไทย และเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมานายวีระได้ยื่นคำร้องต่อเลขาธิการ ปปง. อีกครั้งให้ดำเนินคดีผู้เกี่ยวข้องกับคดีฟอกเงินกรุงไทยเพิ่มเติมอีกราว 150 รายชื่อที่ได้รับการโอนเงินจากกฤษดามหานคร ซึ่งมีรายชื่อคนดังปรากฏอยู่เพียบ!!!

พอเห็นภาพนะครับว่า ทำไมผมถึงบอกว่าเรื่องนี้มันแปลก! ไว้ฉบับหน้ามาเล่าต่อ


You must be logged in to post a comment Login