- บทเรียนพระสายมูPosted 9 hours ago
- ไม่ตายก็คางเหลืองPosted 23 hours ago
- ช่วยกันเป็นฮีโร่Posted 2 days ago
- อย่าอ่อนแอแพ้ต่อกิเลสPosted 3 days ago
- พระรัตนตรัยดีที่ 1Posted 6 days ago
- ประเทศต้องเดินหน้าได้Posted 7 days ago
- เด็กไทยต้องทำชีวิตก้าวหน้าPosted 1 week ago
- ยุคทะเลเดือดPosted 1 week ago
- รวยลัดเป็นเปลวนรกPosted 1 week ago
- คนทำบุญลดลงPosted 2 weeks ago
ถึงเวลาวิญญาณต้องเลือกข้าง / โดย บรรจง บินกาซัน
คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
ชีวิตเป็นสิ่งที่ประกอบด้วยร่างกายและวิญญาณ ตราบใดที่วิญญาณยังคงอาศัยอยู่ในร่างกาย ตราบนั้นมนุษย์ก็ยังคงมีชีวิต
ขณะยังมีชีวิต วิญญาณอยู่ในร่างของมนุษย์เหมือนนิ้วมือ ส่วนร่างกายก็เหมือนถุงมือที่สวมนิ้วมืออยู่ นิ้วมือกระดิกไปทางไหน ถุงมือก็จะเคลื่อนไปตามนั้น มนุษย์จะทะเลาะเบาะแว้ง แก่งแย่งแข่งขันกันตอนที่ยังมีชีวิต วิญญาณออกจากร่างเมื่อใด ร่างกายของมนุษย์ก็ไม่ต่างอะไรไปจากท่อนไม้ คนตายจึงไม่ทะเลาะกัน ด้วยเหตุนี้วิญญาณจึงไม่ต่างอะไรไปจากจอมบงการที่ต้องรับผิดชอบต่อการบงการของมันขณะที่อยู่ในร่างมนุษย์
วิญญาณเปรียบเหมือนนาย กายเปรียบเหมือนบ่าว ถ้าวิญญาณเป็นนายที่ดี นายที่ดีจะไม่บงการบ่าวให้ทำความชั่ว และนายชั่วจะไม่บงการบ่าวให้ทำความดี ด้วยเหตุนี้ขณะที่ยังมีชีวิตมนุษย์จึงต้องเรียนรู้วิธีการควบคุมวิญญาณของตัวเองให้เป็นนายดี
แม้วิญญาณเป็นสิ่งที่มนุษย์มองไม่เห็นและวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถให้คำตอบได้ว่าวิญญาณคืออะไร แต่ศาสนาได้ให้ความรู้แก่มนุษย์ว่าบนโลกใบนี้นอกจากมีวิญญาณที่มองไม่เห็นอาศัยอยู่ในร่างมนุษย์แล้ว ยังมีสิ่งมีชีวิตที่ตาของมนุษย์มองไม่เห็นอาศัยร่วมอยู่กับมนุษย์ด้วย และทั้ง 2 สิ่งนี้มีอิทธิพลต่อวิญญาณของมนุษย์
สิ่งหนึ่งถูกเรียกในภาษาอาหรับว่า “ญิน” ซึ่งถูกสร้างมาจากไฟ มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นมัน แต่มันมองเห็นมนุษย์ เผ่าพันธุ์ญินมีทั้งดีและชั่ว ญินชั่วถูกเรียกว่าชัยฏอนหรือซาตานมารร้าย สิ่งนี้บางทีถูกเรียกว่าอำนาจฝ่ายต่ำ
อีกสิ่งหนึ่งในภาษาอาหรับเรียกว่า “มลาอิก๊ะฮฺ” หรือทูตสวรรค์ เป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างจากแสงสว่าง มนุษย์ไม่สามารถมองเห็น แต่มลาอิก๊ะฮฺมองเห็นมนุษย์ คุณสมบัติของมลาอิก๊ะฮฺคือเชื่อฟังคำสั่งของพระเจ้าโดยไม่ฝ่าฝืน ไม่กิน ไม่ดื่ม และไม่มีความต้องการทางเพศ สิ่งนี้บางคนเรียกว่าอำนาจฝ่ายดี
วิญญาณของมนุษย์อยู่ตรงกลางระหว่าง 2 สิ่งนี้ขณะยังมีชีวิตโดยมีสติปัญญาเป็นเครื่องช่วยตัดสินใจ ระหว่างมีชีวิตมนุษย์จึงถูกทดสอบว่าจะไปทางใด ถ้ามนุษย์ไปทางฝ่ายต่ำเขาจะต่ำยิ่งกว่าสัตว์ แต่ถ้าเขาขึ้นไปทางอำนาจฝ่ายดีเขาจะถูกยกย่องว่าเหนือกว่าทูตสวรรค์
คัมภีร์กุรอานเล่าว่า อิบลีสผู้เป็นต้นตระกูลซาตานมารร้ายเคียดแค้นอาดัมที่เป็นเหตุทำให้มันต้องถูกลงโทษ มันวอนขอต่อพระเจ้าให้ประวิงเวลาการลงโทษมันไว้จนกว่าจะถึงวันสิ้นโลก และมันจะขอหลอกลวงลูกหลานของอาดัมหรือมนุษย์ทั้งข้างหน้าและข้างหลัง ทั้งข้างขวาและข้างซ้าย ทั้งข้างบนและข้างล่าง เพื่อที่พระเจ้าจะได้เห็นว่ามนุษย์ก็ไม่ต่างอะไรไปจากมัน
พระเจ้าให้อนุญาตอิบลีสตามที่มันขอ แต่ไม่ให้อำนาจมันบังคับลูกหลานของอาดัมทำตามคำหลอกลวงของมัน เพราะพระองค์จะประทานทางนำที่แยกความดีและความชั่วให้แก่มนุษย์ และประทานสติปัญญาแก่มนุษย์เพื่อให้มนุษย์ตัดสินใจด้วยตัวเองว่าจะเชื่อคำหลอกลวงของมันหรือจะเชื่อฟังพระเจ้า
อาดัมและเอวาบรรพบุรุษของมนุษย์พ่ายแพ้ต่อคำหลอกลวงของมันมาแล้วในอาณาจักรเบื้องบน ทั้งคู่จึงถูกส่งมายังโลกนี้ อิบลีสได้ตามอาดัมและเอวามาด้วยเพื่อทำในสิ่งที่มันได้ขอต่อพระเจ้าไว้ เมื่ออาดัมและเอวาแพร่ลูกออกหลานเป็นมนุษย์มากมาย อิบลีสก็แพร่ลูกออกหลานของมันเช่นเดียวกัน ยิ่งมนุษย์มีความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีมากเพียงใด อิบลีสและลูกหลานของมันก็ยิ่งมีการหลอกลวงมนุษย์ด้วยวิธีการที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น
เดือนรอมฎอนจึงเป็นเดือนที่พระเจ้าได้กำหนดให้ผู้ศรัทธาในพระองค์ฝึกวิญญาณให้เป็นนายที่ดีในช่วงเวลากลางวันโดยใช้ชีวิตเยี่ยงทูตสวรรค์คือ ไม่กิน ไม่ดื่ม ไม่มีความสัมพันธ์ทางเพศ และไม่ทำสิ่งที่ฝ่าฝืนคำสั่งของพระองค์ และในเดือนนี้ซาตานมารร้ายจะถูกล่ามโซ่ไว้เพื่อให้ผู้ศรัทธาในพระเจ้าได้ใช้ชีวิตเยี่ยงทูตสวรรค์อย่างสบายๆ
แต่มนุษย์ก็คือมนุษย์ การใช้ชีวิตเยี่ยงทูตสวรรค์มีเวลาแค่เพียงเดือนเดียวเพื่อให้มนุษย์ตัดสินใจด้วยสติปัญญาของตัวเองว่าอีก 11 เดือนข้างหน้าเขาจะไปอยู่ข้างใด
You must be logged in to post a comment Login