วันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2567

ความโปร่งใส‘รัฐบาลทหาร’? / โดย น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ

On May 25, 2017

คอลัมน์ : โดนไป บ่นไป
ผู้เขียน : น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ

ท่านผู้อ่านคงรับทราบข่าวการวางระเบิดที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าจากสื่อต่างๆกันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นใคร กลุ่มไหนก็ตาม การกระทำเช่นนี้ถือว่าเลวทรามต่ำช้าเกินกว่าที่ปุถุชนคนธรรมดาจะประพฤติปฏิบัติได้ ผมขอประณามการกระทำในครั้งนี้ และขอให้บาปกรรมที่คนกลุ่มนี้ทำไว้กับผู้บริสุทธิ์จงคืนสนองแก่พวกมันร้อยเท่าพันทวี

ผมเคยเป็นทหารรับใช้ประเทศชาติ พวกเราถูกสั่งสอนมาตั้งแต่ยังเป็นนักเรียนทหารว่าให้ดูแลปกป้องผู้ที่อ่อนแอกว่า ไม่ว่าจะเป็นเด็ก สตรี หรือคนชรา ดังนั้น พวกเราจึงมีความรู้สึกเจ็บแค้นไม่น้อยเมื่อทราบว่ามีการวางระเบิดในโรงพยาบาล ซึ่งเป็นสถานที่ของเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เช่น แพทย์ พยาบาล ที่ช่วยดูแลรักษาทุกคนที่เจ็บป่วย ซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่อ่อนแอและต้องได้รับการดูแลรักษาให้หายจากอาการต่างๆที่ย่ำแย่อยู่แล้ว

ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเจ้าหน้าที่บ้านเมืองจะสามารถตามเอาตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษได้อย่างสาสม และขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลกได้โปรดปกปักรักษาและคุ้มครองให้ท่านผู้อ่านและครอบครัว ตลอดจนสุจริตชนทุกคนที่อาศัยอยู่ในประเทศนี้ แคล้วคลาดปราศจากอันตรายทั้งปวงมาแผ้วพานด้วยเถิด

สัปดาห์นี้ถ้าไม่พูดถึงเรื่องครบรอบ 3 ปี และผลงานของ คสช. ก็ดูจะเชยไม่น้อย ต้องยอมรับว่าคอลัมนิสต์ นักวิชาการ พ่อค้า ประชาชน ต่างดาหน้ากันออกมาถล่มรัฐบาลทหารจนเละเป็นโจ๊ก ถ้าเป็นมวยก็ต้องบอกว่าบอบช้ำแบบสุดๆ ดังนั้น ผมจึงขออนุญาต “ไม่ซ้ำเติม” เรื่องที่คนไทยทั้งประเทศทราบกันเป็นอย่างดีว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่มีผลงาน แต่จะขอบ่นเรื่องที่มีคนกล่าวอ้างเหตุผล “เลอะเทอะ” เพื่อสนับสนุนว่าการทำงานของ คสช. 3 ปีไม่เสียของแน่นอนน่าจะดีกว่า

เป็นที่ทราบกันดีว่า วันที่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมา เป็นวันครบรอบการ “ยึดอำนาจ” ของ คสช. และมีปรากฏการณ์ที่พี่น้องประชาชนจำนวนมากออกมาโจมตีการยึดอำนาจว่าสูญเปล่า เสียของ และทำให้บ้านเมืองถอยหลังเข้าคลอง ซึ่งน่าศึกษาอยู่ไม่น้อยว่าทำไมคนไทยส่วนใหญ่ถึง “กล้า” ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ “รัฐบาลทหาร” กันมากมายขนาดนี้ ทั้งที่ทราบเป็นอย่างดีว่าหากวิพากษ์วิจารณ์เรื่องต่างๆอย่างตรงไปตรงมาอาจถูกเรียกไป “ปรับทัศนคติ” กันได้ง่ายๆ

แต่ก็ยังมีคนที่ “ชื่นชม” และ “หลงใหลได้ปลื้ม” กับ คสช. เหลืออยู่บ้าง แม้จะมีจำนวนไม่มาก ฟังที่ “ยกยอปอปั้น” กันเองแล้วอดไม่ได้ที่จะนำมาบ่นให้ฟัง เพราะ “ชนกลุ่มน้อย” เหล่านี้มีเหตุผลสนับสนุน “ความเชื่อ” ของตัวเองอยู่พอตัวเหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเชื่อว่าหากไม่มีการปฏิวัติแล้วไซร้ เรื่องร้ายๆทั้งหลายจะเกิดขึ้นกับประเทศชาติและปวงชนชาวไทยอย่างแน่นอน

เรื่องแรกที่พวกเขายกย่องว่าเป็นผลงาน “มาสเตอร์พีซ” ของ คสช. คือ หากไม่มีการปฏิวัติ “พ.ร.บ.นิรโทษกรรม” ก็จะถูกผลักดันให้ผ่านสภาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเมื่อกฎหมายผ่าน “ปิศาจร้าย” ที่คอยหลอกหลอนประเทศอย่าง “ทักษิณ ชินวัตร” ก็จะได้กลับบ้านและกลับมาทำร้ายประเทศให้รุ่งเรือง ทำมาค้าคล่อง และประชาชนลืมตาอ้าปากกันได้อีกครั้ง ทั้งที่ในข้อเท็จจริง “ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม” ไม่ว่าจะร่างไหนก็ตาม ไม่มีโอกาสที่จะนำนายกฯทักษิณกลับบ้านโดยไม่กลับมาต่อสู้คดีในประเทศไทยได้เลย

เรื่องต่อมาที่เขาเชื่อกันอย่างหัวปักหัวปำว่า คสช. ได้สร้างคุณูปการให้กับประเทศอย่างมากมายคือ หาก คสช. ไม่ออกมาปฏิวัติและใช้กำลังทหารเข้าปกครองประเทศก็จะมีกองกำลังติดอาวุธที่ “จัดตั้ง” ขึ้นเพื่อหวังเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศไทยเป็นระบอบ “สหพันธรัฐ” ทำการล้มล้างการปกครอง “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ดังนั้น ประชาชนจึงควรต้องชื่นชมและขอบคุณ คสช. ที่อุทิศตัวออกกวาดล้างจับกุมกองกำลังนี้อย่างต่อเนื่อง และต้องถือว่าเป็นผลงานชิ้นโบแดงที่สำคัญอีกชิ้นหนึ่ง แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะไม่เคยเห็นกองกำลังนี้เลยก็ตาม

และสุดท้ายที่ต้องยกย่องว่าเป็นผลงานของ คสช. อย่างปฏิเสธไม่ได้คือ การยกเลิกโครงการรับจำนำข้าวที่สร้าง “ความกินดีอยู่ดี” ให้กับชาวนาทั้งประเทศ แม้ว่าโครงการนี้จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยขับเคลื่อนประเทศให้เดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง แต่เมื่อมีการกล่าวหาว่ารัฐบาลเลือกตั้งใช้โครงการนี้เพื่อทำให้ประชาชนพึงพอใจและมีความสุข และฝ่ายค้านให้ข้อมูลว่ามีการทุจริตคอร์รัปชัน คสช. ก็มีความจำเป็นต้องระงับยับยั้งและเข้าไปสะสางโครงการนี้ด้วยการดำเนินคดีความต่างๆโดยใช้กระบวนการทางกฎหมาย

ที่ผมกล่าวมาทั้งหมดไม่ได้ “ใส่สีตีไข่” แต่อย่างใด แต่เป็นการนำเอาข้อเท็จจริงที่นักวิชาการ พ่อค้า ประชาชน ตลอดจน “ชนกลุ่มน้อย” ได้แสดงความเห็นกันอย่างกว้างขวางในสังคมออนไลน์ ดังนั้น ท่านจะเลือกเชื่อใครระหว่างคนส่วนใหญ่ที่ “ไม่ปลื้ม” คสช. และคิดว่า 3 ปีมานี้ไม่มีผลงานอะไรเลย กับอีกกลุ่มชน “คนหน้าเดิม” ที่ไม่ว่าฝนตกฟ้าร้องแผ่นดินไหวใจฉันก็มอบให้กับเผด็จการคนเดียวเท่านั้น

แต่ที่แน่ๆ 3 ปีภายใต้การบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลทหาร สิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อว่าทุกคนเห็นตรงกันคือ เศรษฐกิจของประเทศถอยหลังลงไปเรื่อยๆ การตั้งงบประมาณขาดดุล 3 ปีต่อเนื่อง รวมทั้งการเก็บรายได้ของรัฐที่ต่ำกว่าเป้ามาโดยตลอดเป็นข้อเท็จจริงที่สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลมีปัญหาในการบริหารเศรษฐกิจ

เพราะการตั้งงบประมาณขาดดุลและการเก็บรายได้ไม่เข้าเป้าย่อมหมายถึงการกู้เงินหลายแสนหลายล้านบาทมาใช้และชดเชย ซึ่งถ้ามีการใช้เงินกู้จำนวนมหาศาลอย่างมีประสิทธิภาพ ประชาชนย่อมไม่อดอยากและแร้นแค้นแบบนี้ ที่สำคัญคือ หากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเกิดจากความ “อ่อนด้อย” ในการบริหารก็ยังพอทำใจยอมรับได้บ้าง เพราะทหารอาจไม่เก่งและรอบรู้ทุกเรื่อง

แต่ถ้าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจากเหตุผลอื่นตามที่นักวิชาการหลายท่านตั้งข้อสังเกตก็ถือว่าเป็นเรื่องน่ากลัวอย่างยิ่ง เพราะหากงบลงทุนของรัฐบาลหลายแสนล้านบาทต่อปีถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพ รัฐย่อมเก็บรายได้ “เข้าเป้า” หรือ “เกินเป้า” แต่พอรัฐเก็บรายได้ต่ำกว่าเป้าเป็นตัวเลขที่สูง จึงไม่พ้นคำครหาว่าเงินหล่นหายไปที่ไหน

เป็นไปได้หรือไม่อย่างไรที่เรื่องทั้งหมดอาจเกิดจากการทุจริตคอร์รัปชันในระบบอย่างรุนแรงและกว้างขวาง มันจะเป็นเรื่องจริงตามที่ผู้ประกอบการจำนวนมากเคยให้ข้อมูลก่อนหน้านี้หรือไม่ว่า พวกเขาต้องจ่ายเงินล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30-40% เพื่อให้ได้รับอนุมัติโครงการรัฐ แม้ว่าผมและคนส่วนใหญ่อยากรู้ใจจะขาดว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่คง “ไม่มีปัญญา” เพราะภายใต้รัฐบาลทหาร ใครล่ะที่จะกล้าเข้าไป “ตรวจสอบ” หรือถ้ามีคน “กล้าตรวจสอบ” ก็คง “ไม่มีช่องทาง” ที่จะเรียกข้อมูลต่างๆดูได้เหมือนกับรัฐบาลเลือกตั้ง

ที่สำคัญถึงจะมีข้อมูลต่างๆครบถ้วนก็คงไม่สามารถเอาผิดกับใครได้ เพราะการกระทำทั้งหมดได้ถูก “นิรโทษกรรม” เอาไว้ล่วงหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว “เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้”


You must be logged in to post a comment Login