วันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2567

นรกและสวรรค์ปัญญาสัมผัสได้ / โดย บรรจง บินกาซัน

On March 13, 2017

คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

ผมยังคงยืนยันเสมอทั้งในการเขียนและการพูดว่าทุกศาสนามีหลักความเชื่อขั้นพื้นฐานที่เหมือนกัน นั่นคือ ความเชื่อในสิ่งเร้นลับหรือสิ่งที่อยู่เหนือประสาทสัมผัสทั้งห้าของเรา และหนึ่งในนั้นคือความเชื่อในโลกหน้า ซึ่งถูกเรียกด้วยถ้อยคำต่างๆ เช่น นรก สวรรค์ เป็นต้น

ไม่มีศาสนาใดที่ไม่บอกถึงการมีอยู่จริงของนรกและสวรรค์ เพราะศาสนามาจากพระเจ้าผู้สร้างทุกสรรพสิ่งในสากลจักรวาลและเป็นผู้สร้างนรกและสวรรค์

ไม่เป็นการยากที่จะเข้าใจว่าทำไมพระเจ้าต้องสร้างนรกและสวรรค์ แค่เราเห็นคนทำผิดไม่ถูกลงโทษหรือถูกลงโทษไม่สาสมกับความผิดหรือเห็นผู้บริสุทธิ์ถูกลงโทษ เราจะรู้สึกทันทีว่านั่นเป็นความไม่ยุติธรรม

ด้วยเหตุนี้พระเจ้าผู้ทรงยุติธรรมจึงต้องสร้างนรกและสวรรค์ไว้เพื่อเป็นความยุติธรรมที่สมบูรณ์สำหรับมนุษย์ นรกและสวรรค์จึงเป็นความจริงที่สะท้อนถึงคุณสมบัติแห่งความยุติธรรมของพระเจ้า

เนื่องจากนรกและสวรรค์เป็นสิ่งที่ตาของมนุษย์มองไม่เห็น แต่วิญญาณที่เป็นผู้บงการมนุษย์รู้เห็นว่านรกและสวรรค์มีจริง จึงทำให้มนุษย์ต้องคิดแล้วคิดอีกก่อนที่จะทำความชั่ว และความเชื่อว่าสวรรค์มีจริงทำให้มนุษย์เชื่อมั่นว่าการทำความดีของตนจะได้รับสวรรค์เป็นการตอบแทน มนุษย์จึงยังคงมุ่งมั่นทำความดีต่อไป

ความเชื่อในการมีอยู่จริงของนรกและสวรรค์จึงเป็นกลไกควบคุมมนุษย์ทางด้านจิตวิญญาณที่เป็นผู้บงการพฤติกรรมของมนุษย์ หากสังคมใดมีมนุษย์ที่ไม่เชื่อในเรื่องนี้ กฎหมายนับร้อยฉบับก็ไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมชั่วของมนุษย์ได้

ดังนั้น ศาสนาจึงมีบทบัญญัติที่ควบคุมมนุษย์ทั้ง 2 ด้านของชีวิต นั่นคือ ควบคุมวิญญาณด้วยความเชื่อ และควบคุมภายนอกด้วยการมีบทลงโทษ

ศาสนาคริสต์ก็มีความเชื่อในการมีอยู่จริงของนรกและสวรรค์ และยังมีคำสอนในเรื่องวันพิพากษาโดยพระเจ้าอีกด้วย เพราะนี่คือกระบวนการยุติธรรมของพระเจ้า แน่นอนใครจะได้เข้าสวรรค์หรือลงนรกขึ้นอยู่กับการตัดสินของพระเจ้าผู้ทรงยุติธรรม

ศาสนาอิสลามที่มาหลังศาสนาคริสต์ก็มีความเชื่อในการมีอยู่จริงของนรกและสวรรค์เหมือนกัน และมุสลิมทุกคนถูกเตือนในการละหมาดทุกครั้งเมื่อต้องอ่านข้อความตอนหนึ่งที่มีความหมายว่า “พระเจ้าเป็นผู้ทรงมีอำนาจสูงสุดในวันพิพากษา”

ในฐานะที่เป็นศาสนาที่มาทีหลังศาสนาคริสต์และศาสนาอื่นๆ คัมภีร์กุรอานได้กล่าวว่า ก่อนเข้าสู่กระบวนการพิพากษาโดยพระเจ้า มนุษย์ต้องฟื้นคืนชีพขึ้นมาเป็นตัวตนที่มีประสาทรับความรู้สึกเจ็บปวดจากการถูกลงโทษและได้รับความสุขเมื่อได้เห็นรางวัลตอบแทนการทำความดีของตนเสียก่อน

เมื่อท่านนบีมุฮัมมัดนำเรื่องการฟื้นคืนชีพกลับมาอยู่ในสภาพเดิมหลังความตาย ชาวอาหรับในมักก๊ะฮ์หัวเราะเยาะและถากถางดูถูกท่าน บางคนหยิบกระดูกสัตว์ผุๆขึ้นมาบี้ในมือและปาใส่หน้าท่าน บางคนใช้มือกอบฝุ่นดินฝุ่นทรายเป่าใส่หน้าท่านด้วยความรู้สึกลบหลู่ดูหมิ่นและกล่าวว่า “เนื้อและกระดูกที่ผุพังเป็นธุลีไปแล้วนี่หรือจะกลับฟื้นคืนชีพกลับมาเป็นตัวตนอีก?”

ด้วยความไม่เชื่อในเรื่องการฟื้นคืนชีพขึ้นมารับการพิพากษาของพระเจ้านี่เองที่ทำให้มนุษย์ในทุกยุคสมัยทำความชั่วอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด

เมื่อถูกคนเถื่อนลบหลู่ดูหมิ่นถึงขนาดนั้น พระเจ้าจึงได้ประทานเหตุผลที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์กุรอานแก่ท่านนบีมุฮัมมัดมาอธิบายให้คนที่ปฏิเสธความเชื่อในเรื่องนี้หลายตัวอย่าง เช่น แผ่นดินแห้งแล้งที่ใครเห็นแล้วคิดว่าคงจะไม่มีชีวิตเกิดขึ้น แต่พอฝนตกลงมาแผ่นดินที่ตายแล้วก็มีพืชพรรณต่างๆฟื้นคืนชีพขึ้นมา เมล็ดอินทผลัมที่แข็งราวกับหิน พระเจ้าได้ปริมันออกมาให้เป็นลำต้นเจริญเติบโตอีกครั้งหนึ่ง จึงไม่ใช่เรื่องยากแต่ประการใดที่พระเจ้าจะทำให้มนุษย์ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งเพื่อเข้าสู่กระบวนการพิพากษาของพระองค์

นรกและสวรรค์แม้จะอยู่เกินประสาทสัมผัสทั้งห้าของเรา แต่ก็ไม่เกินไปกว่าสติปัญญาของมนุษย์จะสัมผัสได้


You must be logged in to post a comment Login