วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2567

เอลวิสยังไม่ตาย / โดย ศิลป์ อิศเรศ

On January 30, 2017

คอลัมน์ : ร้ายสาระ
ผู้เขียน : ศิลป์ อิศเรศ

คนกลุ่มหนึ่งไม่เชื่อว่าราชาเพลงร็อก เอลวิส เพรสลีย์ เสียชีวิตแล้วจริงๆ ค่ายดนตรีจึงฉวยโอกาสหากินบนความเชื่อและศรัทธาของประชาชนปลุกปั้นนักร้องที่มีบุคลิกและเสียงร้องเหมือนกับเอลวิสทุกประการ

ปี 1962 จิมมี่ เอลลิส หนุ่มน้อยวัย 17 ปี ลงชื่อสมัครแข่งขันประกวดร้องเพลงในงานไฮสคูลทาเลนต์โชว์ เมืองออร์วิลล์ รัฐแอละแบมา โดยเลือกคัฟเวอร์เพลง Peace In The Valley อันโด่งดังของเอลวิส เพรสลีย์

จิมมี่ชนะเลิศการประกวดร้องเพลงในครั้งนั้น เขาเริ่มมั่นใจในตัวเอง ขยับขึ้นไปแข่งขันการประกวดระดับรัฐและก็ชนะเลิศอีก รายการทีวีเชิญตัวไปสัมภาษณ์ แต่ดูเหมือนจิมมี่จะไม่มีความสนใจเข้าสู่วงการเพลงอย่างจริงจัง เขามุ่งมั่นที่จะเรียนให้จบมัธยมปลาย

จิมมี่ได้ทุนโควตานักกีฬาเข้าศึกษาที่โรงเรียนมิดเดิลจอร์เจียจูเนียร์ โชคชะตาทำให้เขาได้พบกับจิมมี่ ยูแมนส์ โปรดิวเซอร์ค่ายเพลงเล็กๆแห่งหนึ่ง คะยั้นคะยอหว่านล้อมให้ลองออกซิงเกิลสักชุด

ซิงเกิลแรกของจิมมี่คว่ำไม่เป็นท่า เพราะนักจัดรายการเพลงไม่ยอมเปิดแผ่นให้ โดยให้เหตุผลว่าเหมือนกับพยายามเลียนแบบน้ำเสียงเอลวิส เพรสลีย์ จนเกินงาม ดับฝันการเข้าสู่วงการเพลง

ต่อมาจิมมี่ย้ายมาเรียนในเมืองทัสคาลูซา เขาใช้เวลาว่างร้องเพลงตามไนต์คลับ แน่นอนว่าเพลงที่เลือกขับร้องล้วนเป็นเพลงของเอลวิสทั้งสิ้น แต่หลังจากย้ายกลับมาเมืองออร์วิลล์ จิมมี่ก็เลิกร้องเพลงโดยสิ้นเชิง มุ่งหน้าผสมพันธุ์ม้าซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัวแต่เพียงอย่างเดียว

เสียงดนตรีเรียกร้อง

ปี 1966 เชลบี้ ซิงเกิลตัน ก่อตั้งค่ายเพลงแห่งใหม่ชื่อ แพลนเตชั่นเรคคอร์ดส์ เขากว้านซื้อลิขสิทธิ์เพลงจากค่ายเพลงซันเรคคอร์ดส์ ซึ่งถือลิขสิทธิ์เพลงยุคแรกๆของเอลวิส เพรสลีย์ และมีศิลปินดังๆอยู่ในสังกัด 2-3 คน รวมถึงเจอร์รี ลี ลูวิส หนึ่งในตำนานเพลงร็อก

ปี 1972 จิมมี่ทนต่อเสียงหัวใจเรียกร้องให้กลับคืนสู่วงการเพลงไม่ไหว เขาโทรศัพท์หาฟินเลย์ ดันแคน เพื่อนที่ทำงานเป็นโปรดิวเซอร์เพลงในรัฐฟลอริดาให้ช่วยทำเดโมเทป และส่งให้ค่ายเพลง

ทันทีที่ได้ยินเสียงร้อง เชลบี้ถึงกับตกตะลึง และคิดว่าฟินเลย์มีเดโมเทปของเอลวิส แต่ฟินเลย์ยืนยันว่าเป็นเสียงของจิมมี่ไม่ใช่เอลวิส

เชลบี้ตกลงเรียกตัวจิมมี่มาเซ็นสัญญาออกซิงเกิลเพลง That’s All Right และ Blue Moon Of Kentucky 2 เพลงแรกที่เอลวิสบันทึกแผ่นเสียงเมื่อปี 1954 ซึ่งแพลนเตชั่นเรคคอร์ดส์ซื้อลิขสิทธิ์มาจากค่ายเพลงซันเรคคอร์ดส์เมื่อตอนเปิดบริษัทใหม่ๆ

เกือบเป็นคดี

ใครจะสนใจคนเสียงเหมือนเอลวิสในเมื่อเอลวิสตัวเป็นๆยังมีชีวิตอยู่ เชลบี้รู้ดีในข้อเท็จจริงนี้ แต่การที่เขาบริหารค่ายดนตรีมาหลายสิบปี เพราะก่อนหน้ามาเปิดบริษัทของตัวเองเขาเคยเป็นถึงรองประธานค่ายเพลงเมอร์คิวรี หนึ่งในยักษ์ใหญ่วงการเพลง จึงทำให้เขารู้วิธีจัดการกับเรื่องนี้

เชลบี้สั่งให้ปั๊มแผ่นเสียง มีแต่ชื่อเพลง ไม่มีชื่อนักร้อง ใส่โลโก้ของซันเรคคอร์ดส์ เจ้าของลิขสิทธิ์เพลงเอลวิสคนเก่า เพียงแค่นี้ประชาชนก็เหมาเอาเองว่านักร้องคือเอลวิส เพรสลีย์

แผนการตลาดพังไม่เป็นท่า เพราะตอนนั้นปี 1972 ดนตรีสมัยปี 1954 ล้าสมัยไปแล้ว ต่อให้คนร้องคือเอลวิสตัวจริงก็ตาม แต่เรื่องไม่จบเพียงแค่นั้น ค่ายเพลง RCA ที่ซื้อลิขสิทธิ์เพลงที่ร้องโดยเอลวิสไปจากซันเรคคอร์ดส์เมื่อปี 1955 เต้นเป็นเจ้าเข้า เพราะคิดว่าแพลนเตชั่นเรคคอร์ดส์ลักไก่ปั๊มแผ่นเสียงที่ร้องโดยเอลวิสออกวางตลาด

ก่อนที่เรื่องจะลุกลามใหญ่โต ผู้บริหาร RCA จ้างผู้เชี่ยวชาญทางด้านเสียงมาวิเคราะห์แล้วพบว่าไม่ใช่เสียงของเอลวิส เรื่องราวจึงยุติลง ขณะเดียวกันเชลบี้เรียนรู้ความผิดพลาด เขาให้จิมมี่ออกซิงเกิลที่ 2 คราวนี้ใช้เพลงที่แต่งขึ้นใหม่แต่ใช้ดนตรีวงใหญ่เล่นตามสไตล์ของเอลวิสในสมัยนั้น ซึ่งล้มไม่เป็นท่าเหมือนเดิม จิมมี่คอตกเก็บกระเป๋ากลับบ้าน

ล้มเหลว ไม่ล้มเลิก

จิมมี่ยังไม่ล้มความตั้งใจ ในช่วงทศวรรษ 1970 เขาเซ็นสัญญาออกซิงเกิลกับค่ายเพลง MCA ซึ่งผู้บริหารพยายามดันอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะนำตัวไปออกรายการทอล์คโชว์หรือใช้เพลงเป็นเพลงประกอบซีรี่ส์ดังในยุคนั้น

ปี 1976 จิมมี่ต้องย้ายมาอยู่ที่ LA เพื่อเข้าอบรมหลักสูตรการเป็นศิลปินนักแสดงอย่างเข้มข้น แต่ไม่ว่าผู้บริหารจะดันมากแค่ไหนก็ดูเหมือนจะไม่เป็นผล เพลงของจิมมี่ไม่ได้รับความนิยม

จิมมี่กลับบ้านด้วยความผิดหวังอีกครั้ง คราวนี้เขาเดินเข้าหาค่ายเพลง Boblo ช่วงเวลาปีกว่าๆเขาออกซิงเกิล 5 แผ่น และอัลบั้ม 2 แผ่น แต่ยังไม่มีวี่แววว่าเขาจะเดินไปถึงดวงดาว จนกระทั่งเอลวิสเสียชีวิตในปี 1977

นิยายล้วนๆ

วันที่ 16 สิงหาคม 1977 เอลวิส เพรสลีย์ เสียชีวิตท่ามกลางความเศร้าโศกเสียใจของบรรดามิตรรักแฟนเพลง บ็อบบี้ สมิธ เจ้าของค่ายเพลง Boblo โทรศัพท์หาเชลบี้ ปรึกษากันว่าจะใช้โอกาสนี้ผลักดันจิมมี่เข้าวงการเพลงอีกครั้ง เพราะจิมมี่สามารถเป็นตัวแทนเอลวิสได้

เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เชลบี้ได้อ่านนิยายเรื่อง Orion มันเป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่มชาวใต้จนๆคนหนึ่งชื่อ โอไรอัน ซึ่งต่อมาโชคชะตาพลิกผันให้เขากลายเป็นนักร้องที่โด่งดังที่สุดในโลก แต่แล้วเขาก็ตกอยู่ในวังวนของผู้ที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วด้วยการสำมะเลเทเมา ติดยาเสพติด และปล่อยเนื้อปล่อยตัว

ผู้จัดการส่วนตัวปล่อยข่าวว่าโอไรอันเสียชีวิต ขณะเดียวกันก็กระชากเขาขึ้นมาจากวังวนนรก ควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิดจนกระทั่งโอไรอันสามารถเลิกเสพยาเสพติดได้สำเร็จ ฟื้นฟูร่างกายจนกลับมาเป็นหนุ่มหน้าใสคนเดิมและกลับคืนสู่เวทีอีกครั้ง

ผู้ประพันธ์แต่งนิยายเรื่องนี้โดยได้รับแรงบันดาลใจจากเอลวิส เพรสลีย์ ซึ่งเขาเขียนขึ้นก่อนหน้าที่เอลวิสจะเสียชีวิต แต่เพิ่งนำมาตีพิมพ์ในปี 1979 เชลบี้ฉวยโอกาสนี้ปลุกผีเอลวิสขึ้นมาจากหลุมเหมือนในนิยายเรื่อง Orion

ร้อยเล่ห์เพทุบาย

เชลบี้เปลี่ยนชื่อจิมมี่เป็นโอไรอัน และให้เขาสวมชุดเสื้อ-กางเกงติดกันแบบเดียวกับที่เอลวิสสวมบนเวที ย้อมผมสีดำ เวลาขึ้นแสดงบนเวทีให้สวมหน้ากากตลอดเวลา

ก่อนจะเปิดการแสดงสด เชลบี้จะต้องทำให้ประชาชนเกิดความเคลือบแคลงสงสัยในใจว่าเอลวิสยังไม่ตายด้วยการบันทึกเสียงร้องของจิมมี่ลงในเพลงเก่าของเจอร์รี ลี ลูวิส ปั๊มแผ่นเสียงชุดใหม่ออกวางตลาด ติดฉลากบนแผ่นเสียงด้วยข้อความอัลบั้มดูเอตส์ เจอร์รี ลี ลูวิส และ “เพื่อน”

แผนการของเชลบี้คราวนี้ดำเนินไปตามที่คาดหวัง แผ่นเสียงจำหน่ายได้กว่าล้านแผ่น สื่อต่างๆเขียนบทความถึงอัลบั้มชุดนี้ รายการทอล์คโชว์ชื่อดัง Good Morning America ถึงกับเชิญผู้เชี่ยวชาญเรื่องเสียงมาวิเคราะห์ ซึ่งผลสรุปออกมาว่าเป็นเสียงของเอลวิสอย่างไม่ต้องสงสัย

สิ่งนี้นำมาซึ่งข้อกังขา หรือว่าเอลวิสยังไม่เสียชีวิตเหมือนกับตัวละครในนิยาย Orion เชลบี้รีบฉวยโอกาสนี้แถลงข่าวว่า “เพื่อน” ในอัลบั้มของเจอร์รี ลี ลูวิส ชื่อ “โอไรอัน” แล้วก็ออกอัลบั้ม Reborn (เกิดใหม่) โดยศิลปินชื่อ Orion โดยปกอัลบั้มเป็นภาพคนนอนในโลงศพ และภาพจิมมี่สวมหน้ากากในชุดเหมือนเอลวิส หากดูเผินๆใครก็ต้องคิดว่าเป็นภาพเอลวิส

ราชาคืนชีพ

พลังเสียงของจิมมี่บวกกับนิยายเรื่อง Orion ทำให้คนจำนวนไม่น้อยเชื่อว่าเอลวิสยังไม่ตาย เขาได้กลับมาอีกครั้งภายใต้ชื่อโอไรอัน ช่วงปี 1978-1982 เชลบี้ฉวยโอกาสปั๊มอัลบั้มภายใต้ชื่อ Orion ออกมา 11 อัลบั้ม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพลงคัฟเวอร์ของศิลปินหลายคน

โอไรอันได้รับเลือกให้เป็นศิลปินก่อนเปิดการแสดงของศิลปินดังๆหลายวง เช่น Kiss และดิออนน์ วอร์วิก ในที่สุดจิมมี่ก็สามารถไขว่คว้าดวงดาวได้สำเร็จ ขณะเดียวกันเขาก็ต้องทุกข์ทรมานกับการไม่สามารถเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงได้

คืนก่อนวันปีใหม่ปี 1983 ขณะที่จิมมี่อยู่บนเวทีแสดงสดที่กาสิโนแห่งหนึ่งในลาสเวกัส จิมมี่ถอดหน้ากากออกท่ามกลางผู้ชมราว 5,000 คน และเปิดเผยว่าเขาชื่อจิมมี่ เอลลิส

มันเป็นการฆ่าตัวตายทางอาชีพ การกระทำในครั้งนั้นทำให้สปอนเซอร์ส่วนใหญ่ถอนตัว ส่งผลให้เชลบี้ยกเลิกสัญญา จิมมี่กลับไปเป็นศิลปินไส้แห้ง หากินตามบาร์เล็กๆที่บ้านเกิด แต่รายได้ไม่พอเลี้ยงชีพ ทำให้เขาต้องลงทุนทำธุรกิจอื่นหารายได้เสริม เช่น เปิดร้านจำหน่ายสุรา ปั๊มน้ำมัน และโรงรับจำนำ

ถ้าเป็นเมืองใหญ่ๆเขาคงมีรายได้ไม่ใช่น้อย แต่ธุรกิจของจิมมี่อยู่ในเมืองเล็กๆในชนบท โรงรับจำนำถูกปล้นในปี 1998 คนร้ายยิงจิมมี่เสียชีวิตคาร้าน ปิดฉากตัวแทนราชาเพลงร็อกอย่างถาวร


You must be logged in to post a comment Login