วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2567

ได้เวลาคืนอำนาจให้ประชาชน / โดย Pegasus

On November 29, 2016

คอลัมน์ : เพื่อชาติประชาชน
ผู้เขียน : Pegasus

ตลอดระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ก่อนการยึดอำนาจครั้งแรกจนถึงการยึดอำนาจครั้งที่ 2 เป้าหมายที่แท้จริงคงมีเรื่องเดียวหากมองในแง่ดีคือ ต้องการให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อยในช่วงเวลาสำคัญที่ทุกคนทราบดี

มาตอนนี้ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี มีความสงบสมความตั้งใจ ซึ่งแท้จริงแล้วประชาชนหรือแม้แต่พรรคการเมืองประเภทเลือกตั้งก็ไม่ได้เป็นต้นเหตุความไม่สงบ หากไม่มีการยึดอำนาจก็คงไม่มีเหตุอะไร ก็จะเหมือนในช่วงเวลานี้ที่ทุกอย่างเป็นไปตามกลไกที่สมควรหากไม่มีนักตีความหรือนักบิดเบือนข้อกฎหมายในสังคมไทยมากเกินไปอย่างเช่นที่เห็น

ตรงกันข้ามในการปกครองที่ข้าราชการเป็นใหญ่ นักการเมืองจากฝ่ายแต่งตั้งมีอำนาจ กลับเกิดเหตุการณ์บริหารงานอย่างไร้ประสิทธิภาพ ส่งผลให้เงินทุนไหลออกจากประเทศไปประเทศเพื่อนบ้าน และยังเป็นแหล่งฟอกเงินระดับโลกเมื่อสิ้นปี 2558 มากถึง 26 ล้านล้านบาท

หากมองในมาตรฐานหรืออัตราเดียวกัน เงินทุนภายนอกจากผู้ที่ลงทุนอยู่แล้วหรือจากนักลงทุนไทยเองก็อาจจะมากถึง 60 ล้านล้านบาท

เมื่อนักลงทุนในประเทศยังหนีตาย นักลงทุนจากต่างประเทศรายใหญ่ๆก็ยิ่งต้องคิดหนักถ้าจะมาเสี่ยงลงทุนในประเทศไทย

ขณะที่รัฐบาลก็ทำงานอย่างเต็มกำลังของตนเอง แต่เพราะความไม่คุ้นเคยกับประชาชน ผู้ประกอบการ เกษตรกร และแรงงานทั้งหลาย ทำให้มองภาพการทำงานระยะสั้นไม่ออก หรือจะเรียกว่าไม่มีความถนัดในการบริหารระดับประเทศก็ตาม ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จึงมีสภาพเศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรง

อย่างไรก็ตาม เพราะมีการเตรียมการต่างๆเพื่อซื้อเวลา ซึ่งปัจจุบันไม่มีความจำเป็นอีกต่อไปแล้ว ทั้งเรื่องกลไกรัฐธรรมนูญก็เขียนให้ฝ่ายข้าราชการมีอำนาจ หรือองค์กรอิสระ แม้แต่ฝ่ายตุลาการก็ล้วนแต่เป็นข้าราชการ ต่างก็กินเงินเดือน จึงไม่ได้รู้ร้อนรู้หนาวกับภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ

เมื่อหาเงินเข้าคลังไม่ได้ก็ใช้วิธีขึ้นภาษีอย่างเอาเป็นเอาตาย ก็ยิ่งเป็นการซ้ำเติมประชาชน แต่กลุ่มข้าราชการเหล่านี้ก็ยังมีอำนาจปกครองต่อไป ยิ่งนานก็ยิ่งเห็นความล่มจมของระบบเศรษฐกิจที่นับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้นจนถึงขั้นอาจไม่สามารถกอบกู้ได้ทันอีกต่อไป

ไม่ว่าจะมีการโฆษณาชวนเชื่อมากเพียงใดว่าอีก 3 ปีบ้าง 5 ปีบ้าง เศรษฐกิจไทยจะเป็นเสือ เป็นมังกร หรือแม้แต่เป็นเห็บ ซึ่งจะนำความสุขความสมบูรณ์มาให้ประชาชนในอนาคต ก็เป็นเพียงการพูดเพื่อเอาตัวรอดไปวันๆ และให้อยู่ในอำนาจได้นานที่สุด ซึ่งมีแต่ทำให้เศรษฐกิจยิ่งดิ่งเหว เพราะไม่มีฝีมือในการบริหารงานบ้านเมือง ขณะที่อำนาจฝ่ายข้าราชการก็ยิ่งฝังลึกฝังราก

แม้จะให้นักการเมืองจากการเลือกตั้งเข้ามาบริหารก็จะไม่เป็นที่พอใจของฝ่ายข้าราชการ เพราะข้าราชการจะถูกไล่เบี้ยให้เร่งทำงานรับใช้ประชาชน ข้าราชการจึงรังเกียจนักการเมือง แต่นักการเมืองที่มาจากประชาชนก็ต้องพึ่งประชาชน การฟังเสียงประชาชนจึงถือว่ามีความสำคัญในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจ ไม่นับถึงนานาชาติที่จะเกิดความเชื่อถือเชื่อมั่นและคบค้าสมาคมด้วย

สถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้จึงถึงเวลาแล้วที่นักการเมืองจากการแต่งตั้งจะกลับบ้านหรือเข้ากระทรวง ทบวง กรมของตน ใครที่เกษียณอายุและทำงานบริหารประเทศมานานแล้ว อาจนานกว่านักการเมืองจากการเลือกตั้งบางคนเสียอีก ก็ควรพักผ่อน ปล่อยให้ประชาชนเป็นผู้กำหนดทิศทางประเทศด้วยตนเอง

การลงจากอำนาจอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าหรืออย่างเร็วที่สุดโดยไม่พยายามวางกลไกเพื่อเป็น “กับดัก” จะครองอำนาจต่อไป จะเป็นการพิสูจน์ความจริงใจถึงความเสียสละในการแก้ปัญหาประเทศ โดยไม่หวังผลประโยชน์หรือต้องการมีอำนาจใดๆ

การแสดงความสุจริตใจว่าไม่คิดจะสืบทอดอำนาจก็ทำได้ง่ายมาก เพียงใช้อำนาจมาตรา 44 ให้กรรมการร่างรัฐธรรมนูญนำเสนอร่างรัฐธรรมนูญใหม่โดยแก้ไขคำปรารภบางมาตราและถ้อยคำที่เกี่ยวข้องตามรัฐธรรมนูญปี 2540 มาใช้เท่านั้น และหากจะนิรโทษกรรมการกระทำของตนเองก็ควรเขียนไว้ในบทเฉพาะกาล ส่วนมาตราอื่นๆก็แก้ไขเท่าที่จำเป็น แค่นี้นักลงทุนก็จะแห่เข้ามาลงทุนแล้ว เศรษฐกิจก็จะเกิดการหมุนเวียน สภาพต่างๆจะกลับสู่ภาวะปรกติอีกครั้ง


You must be logged in to post a comment Login