วันพฤหัสที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2567

‘ดูแตร์เต’แห่งฟิลิปปินส์ / โดย สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ

On November 21, 2016

คอลัมน์ : ถนนประชาธิปไตย
ผู้เขียน : สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ

ถ้าจะกล่าวถึงผู้นำในกลุ่มภาคีอาเซียนที่มีชื่อเสียงขณะนี้ โรดริโก ดูแตร์เต ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ต้องเป็นคนหนึ่ง เพราะบทบาทของเขาถือว่าผิดจารีตของผู้นำ ตั้งแต่นิสัยส่วนตัวที่ชอบสบถและพูดคำหยาบ การใช้มาตรการโหดกวาดล้างยาเสพติดและอาชญากรรม และท่าทีไม่เป็นมิตรกับสหรัฐแล้วแสดงแนวโน้มผูกมิตรกับจีน

โรดริโก ดูแตร์เต หรือ “ดีกง” เกิดเมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2488 ที่เมืองมาอาซินในเกาะเลย์เต ซึ่งเป็นหนึ่งในหมู่เกาะวิสายันทางตอนกลางของประเทศ บิดาชื่อวิเซนเต เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด มารดาเป็นครู ในวัยเด็กได้ชื่อว่าเป็นเด็กเกเรจนถูกไล่ออกจากโรงเรียนถึง 2 ครั้ง ต่อมาปรับตัวและตั้งใจศึกษาจนจบวิชานิติศาสตร์จากวิทยาลัยซานเบดาเมื่อ พ.ศ. 2515

เมื่อจบการศึกษา เขาทำงานที่สำนักงานอัยการเมืองดาเวาในเกาะมินดาเนา ต่อมาลงสมัครเป็นนายกเทศมนตรีของเมืองและได้รับเลือกเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2531 ในขณะนั้นเมืองดาเวาได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่มีอาชญากรรมมาก ดูแตร์เตเริ่มใช้นโยบายปราบอาชญากรรมโดยประกาศมาตรการห้ามออกนอกบ้านและออกกฎหมายควบคุมเวลาการขายสุรา ร้านค้าและร้านอาหารต้องมีกล้องวงจรปิดตามทางเข้าออก เพิ่มรถและอุปกรณ์ให้ตำรวจ และที่มากกว่านั้นเขาสนับสนุนทางอ้อมให้ตั้ง “หน่วยล่าสังหาร” โดยใช้รูปแบบนอกกฎหมายหรือ “ศาลเตี้ย” ปราบปรามอาชญากรรมและยาเสพติด เพราะเห็นว่าเป็นวิธีการอันได้ผล

ทำให้ดูแตร์เตถูกวิจารณ์อย่างมาก แต่ก็สามารถสร้างฐานความนิยมได้อย่างมั่นคง ทำให้ชนะเลือกตั้งนายกเทศมนตรีอีก 6 ครั้ง และมีบทบาทการบริหารเมืองดาเวาตลอดมา เมื่อดูแตร์เตติดเงื่อนไขทางกฎหมายลงสมัครต่อเนื่องไม่ได้ก็ให้ซารา ดูแตร์เต ลูกสาวลงสมัครแทน ส่วนดูแตร์เตไปสมัครเป็น ส.ส.

องค์กรสิทธิมนุษยชนประมาณว่าตลอดเวลา 22 ปีที่ดูแตร์เตสนับสนุนวิธีนอกกฎหมายนั้น สังหารผู้ต้องสงสัยไปอย่างน้อย 1,400 คน จนทำให้ได้ฉายา “มือเพชฌฆาต” แต่ผู้ที่ถูกสังหารจำนวนมากเป็นเพียงผู้ต้องหาที่ไม่มีหลักฐานชัดเจน หรือเป็นเพียงพวกลักเล็กขโมยน้อย คนเสพยา แม้กระทั่งเด็กจรจัด

อย่างไรก็ตาม ดูแตร์เตอ้างว่าวิธีการของเขาได้ผล ทำให้ดาเวาเป็นเมืองปลอดอาชญากรรมและสะอาด ชื่อเสียงของดูแตร์เตทำให้เคยได้รับการทาบทามให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมหาดไทยในรัฐบาลก่อนหน้านี้ถึง 4 ครั้ง แต่เขาปฏิเสธ ในที่สุด พ.ศ. 2558 เขาตัดสินใจลงสมัครแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีด้วยตนเอง โดยเริ่มตั้งแต่การรณรงค์ เขาถูกโจมตีเรื่องการพูดจาที่สะท้อนทรรศนะแบบดิบเถื่อน เช่น หาเสียงว่าจะฆ่าพวกอาชญากรให้หมด เรียกร้องให้รื้อฟื้นโทษประหารชีวิตจนถึงขั้นแขวนคอ ทั้งยังกล่าว “โจ๊กหยาบ” เรื่องแจคการีน ฮามิล มิชชันนารีออสเตรเลียที่ถูกรุมข่มขืนแล้วถูกสังหารเมื่อ พ.ศ. 2532

อย่างไรก็ตาม ดูแตร์เตกลับได้รับความนิยมจากประชาชนอย่างมาก การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 ดูแตร์เตได้คะแนนเป็นอันดับ 1 ด้วยคะแนน 39.01% ขณะที่มาร์ โรฮัส มีคะแนนอันดับที่ 2 ได้เพียง 23.5% ทำให้ดูแตร์เตได้เป็นประธานาธิบดีคนที่ 16 ของฟิลิปปินส์อย่างเต็มภาคภูมิ และเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่มาจากเกาะมินดาเนา

หลังจากรับตำแหน่งประธานาธิบดี ดูแตร์เตใช้มาตรการเด็ดขาดกับอาชญากรรมและยาเสพติดด้วยวิธีการนอกกฎหมายต่อไป โดยอธิบายว่าต้องลงมือทำ “สงครามขจัดยาเสพติด” มิฉะนั้นฟิลิปปินส์จะกลายเป็น “รัฐยาเสพติด” โดยอนุโลมให้เจ้าหน้าที่รัฐใช้ความรุนแรงกับผู้ต้องหายาเสพติดและอาชญากรรมได้ มีรายงานว่าในรอบปีที่ผ่านมามีผู้ต้องสงสัยถูกสังหารโดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรมไม่ต่ำกว่า 3,000 คน ทำให้เขาถูกโจมตีอย่างหนักเรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งดูแตร์เตตอบโต้องค์กรสิทธิมนุษยชนว่า ทำไมถึงเรียกพวกอาชญากรว่า “มนุษยชน” คำนี้นิยามอย่างไร

สิ่งที่ดูแตร์เตกล้าทำทั้งที่ถูกต่อต้านอย่างมากคือ การอนุญาตให้นำศพอดีตประธานาธิบดีเฟอร์ดินันด์ มาร์กอส มาฝังที่สุสานวีรบุรุษแห่งชาติได้ โดยอธิบายว่ามาร์กอสก็เป็นอดีตประธานาธิบดีและเป็นทหารรบเพื่อชาติ โดยมองข้ามเรื่องการปราบปรามประชาชน การประกาศภาวะฉุกเฉิน และการทุจริต

ส่วนกรณีที่มีนักข่าวถูกสังหารเป็นจำนวนมากในฟิลิปปินส์ ดูแตร์เตกล่าวว่า “ถ้าไม่ได้ทำอะไรผิดก็คงไม่มีใครมาฆ่า” และว่าการเป็นสื่อมวลชนไม่ได้รับสิทธิพิเศษที่จะไม่ถูกฆ่าถ้าคุณเป็น “พวกเวรตะไล” เขาจึงถูกสื่อมวลชนโจมตีอย่างหนัก

ดูแตร์เตประกาศว่ารัฐบาลของเขาจะใช้นโยบายต่างประเทศแบบอิสระ จะไม่ยอมให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซง ซึ่งแสดงนัยในการต่อต้านสหรัฐโดยตรง เขากล่าวว่า “เขาไม่ใช่แฟนอเมริกา” และเรียกร้องให้สหรัฐถอนทหารจากมินดาเนา เมื่อประธานาธิบดีบารัค โอบามา วิจารณ์นโยบายสิทธิมนุษยชนในฟิลิปปินส์ ดูแตร์เตก็ตอบโต้ว่าฟิลิปปินส์ไม่ใช่อาณานิคม เขาจะฟังเฉพาะประชาชนฟิลิปปินส์ และยังด่าโอบามาด้วยคำหยาบ ซึ่งถือว่าเป็นการละเมิดมารยาททางการทูตอย่างมาก

วันที่ 5 ตุลาคมที่ผ่านมา ดูแตร์เตแสดงท่าทีขัดแย้งกับสหรัฐชัดเจน โดยแถลงว่าสหรัฐกำลังจะหยุดขายอาวุธให้ฟิลิปปินส์ ซึ่งเขาจะซื้ออาวุธจากจีนและรัสเซียแทน ทำให้เดลฟิน ลอเรนซานา รัฐมนตรีกลาโหมฟิลิปปินส์ ต้องรีบออกมากล่าวแก้ว่า ประธานาธิบดีได้รับข้อมูลคลาดเคลื่อน และฟิลิปปินส์ยังรักษาความเป็นพันธมิตรกับสหรัฐต่อไป แต่ดูแตร์เตก็ไม่หยุด โดยการเดินทางไปเยือนจีนวันที่ 20 ตุลาคม ได้กล่าวว่าฟิลิปปินส์จะแยกทางกับสหรัฐและกระชับความสัมพันธ์กับจีนให้แน่นแฟ้นมากขึ้น

วาระประธานาธิบดีของดูแตร์เตยังอยู่อีก 5 ปี จึงต้องติดตามดูว่า “ผู้นำแหกคอก” ของฟิลิปปินส์จะดำเนินการอย่างไรต่อไป?


You must be logged in to post a comment Login