วันพฤหัสที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2567

วาทะกรรมลวงโลกของคนดี! / โดย น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ

On November 10, 2016

คอลัมน์ : โดนไป บ่นไป
ผู้เขียน : น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ

สัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวใหญ่เรื่องหนึ่งซึ่งสังคมอาจไม่ได้ให้ความสำคัญมากสักเท่าไร แต่สำหรับผมและนักการเมืองท่านอื่นๆถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ในฐานะที่เคยได้รับความไว้วางใจและได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน สิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นเรื่องที่ทำใจให้ยอมรับได้ยากจริงๆ

นั่นคือการที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติหรือ สนช. ซึ่งประกอบไปด้วยสมาชิกสภาที่มาจากการแต่งตั้งของคณะปฏิวัติที่ยึดอำนาจมาจากรัฐบาลเลือกตั้งมีมติถอดถอนนายอุดมเดช รัตนเสถียร อดีต ส.ส. หลายสมัยของจังหวัดนนทบุรี ด้วยข้อกล่าวหาที่ฟังแล้วขัดกับความรู้สึกของคนที่รักและเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย นั่นคือ กล่าวหาว่า ส.ส.อุดมเดชบังอาจกระทำการสับเปลี่ยนร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญ ทั้งๆที่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏก็คือ ส.ส.อุดมเดชในฐานะประธานวิปรัฐบาลและผู้เสนอร่างกฎหมายได้ทำหน้าที่ตามปรกติในการปรับปรุงร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญก่อนที่ประธานรัฐสภาจะมีคำสั่งบรรจุวาระให้เป็นไปตามข้อตกลงของสมาชิกรัฐสภาที่ลงชื่อในการเสนอกฎหมายฉบับนี้ทุกคน

พี่อุดมเดชครับ! ผมอยากเรียนพี่ว่าอย่าเสียใจเป็นอันขาด เพราะภาพที่พี่ลุกขึ้นยืนและชี้แจงในที่ประชุม สนช. เมื่อวันก่อนมันช่าง “สง่างาม” และ “เท่” กว่าภาพของใครก็ตามที่เดินเข้าแถวเรียงเดี่ยวหย่อนบัตรจัดการศัตรูทางการเมืองตัวเล็กๆที่ไม่มีโอกาสต่อสู้เป็นร้อยเป็นพันเท่า สถานการณ์แบบนี้พวกเราทุกคนคงต้องยอมรับในความจำเป็นของทุกฝ่ายและเข้าใจถึงความไม่เป็นตัวของตัวเอง เพราะตุ๊กแกในห้องประชุมสภายืนยันกับจิ้งจกอย่างชัดเจนว่า “ใบสั่ง” จากผู้ใหญ่นั้นต้องถือเป็นเด็ดขาดและห้ามแตกแถว

การเป็นพลเมืองชั้น 2 ในสภาวะที่บ้านเมืองไม่มีประชาธิปไตยเช่นนี้ คนอย่างเราคงต้องยอมอดทนนิ่งเฉยเอาไว้ แต่การนิ่งเฉยไม่ได้หมายความว่าเรายอมแพ้ ผมมีความเชื่อมั่นว่าคนที่ชื่อ “อุดมเดช” คงไม่หลีกลี้หนีหน้าไปไหนอย่างแน่นอน แม้จะไม่มีตำแหน่งแห่งหนและเขาจะถอดถอนสิทธิต่างๆออกไป แต่คนพวกนั้นไม่สามารถถอดถอน “นายอุดมเดช รัตนเสถียร” ออกจากหัวใจของพี่น้องประชาชนได้ อีกไม่นานพี่ก็คงจะได้กลับมาเป็นขวัญใจของชาวนนทบุรีอีกครั้งทันทีที่ประชาธิปไตยกลับมาสู่มือของ “ประชาชน”

ท่านผู้อ่านที่เคารพ ผมนำเรื่องนี้มาบ่นให้ฟังเพื่อถ่ายทอดมุมมองและความรู้สึกของฝ่ายที่ถูกกระทำอยู่เพียงข้างเดียว ผมยืนยันว่าไม่มีเจตนาว่าร้ายใครทั้งสิ้นและเข้าใจในบทบาทหน้าที่ของทุกฝ่ายเป็นอย่างดี แต่ข้อเท็จจริงหรือตรรกะที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้ มันช่างแปลกประหลาดสิ้นดี โดยเฉพาะอำนาจของฝ่ายที่มาจากการรัฐประหารสามารถถอดถอนตัวแทนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนได้โดยไม่มีข้อแม้ ข้อนี้ต้องถือว่าประหลาดและพิสดารสุดๆ!!!

ผมไม่มั่นใจว่าความสามารถในการแสดงอำนาจโดยไม่ต้องฟังเสียงของประชาชนในลักษณะเช่นนี้ เหมาะสมกับประเทศไทยหรือไม่ และสิ่งที่ทุกท่านกระทำมาน่าภาคภูมิใจหรือเปล่า น่าเสียดายที่การลงมติถอดถอนครั้งนี้เป็นการลงคะแนนลับ หากเป็นการลงมติอย่างเปิดเผยโดยการขานชื่อทีละคน ป่านนี้เราคงมีโอกาสจารึกเหตุการณ์ครั้งนี้ได้ละเอียดมากกว่านี้

แต่ก็อาจจะเป็นเจตนาดีในการปกป้องสมาชิกสภาแต่งตั้งผู้มีอำนาจในการถอดถอนทุกคน เรื่องแบบนี้รู้ถึงไหนอายถึงนั่น มีอย่างที่ไหน? ส.ส. ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนเข้าชื่อเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมตั้ง 200-300 คน มีความประสงค์ในการปรับปรุงแก้ไขร่างก่อนที่ประธานจะสั่งบรรจุเข้าระเบียบวาระ ซึ่งที่ไหนๆในโลกเขาก็ทำกันแบบนี้

เรียนท่านผู้อ่านที่อาจจะไม่คุ้นเคยกับระเบียบข้อบังคับและธรรมเนียมปฏิบัติการทำงานสภา แม้จะมีการบรรจุร่างกฎหมายเข้าระเบียบวาระแล้วยังแก้ได้ แต่ต้องให้สภาอนุมัติ ดังนั้น ในกรณีนี้การปรับปรุงร่างกฎหมายก่อนบรรจุระเบียบวาระทำไมจะทำไม่ได้ ท่านอุดมเดชก็เป็นแค่ผู้เสนอกฎหมายคนหนึ่งซึ่งต้องทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานคอยวิ่งประสานบรรดา ส.ส. ที่เข้าชื่อไว้แล้วว่าอยากจะแก้ตรงไหนบ้าง เมื่อรวบรวมเข้าด้วยกันจนเป็นที่พอใจของทุกคนทุกกลุ่มแล้วก็ถือว่าได้ข้อยุติ

เมื่อปรับปรุงร่างกฎหมายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็มอบให้เจ้าหน้าที่สภาตรวจสอบอีกครั้งหนึ่งเพื่อเสนอต่อประธานสภาและสั่งบรรจุเข้าระเบียบวาระต่อไป การดำเนินการเช่นนี้เป็นเรื่องปรกติและไม่ผิดระเบียบข้อบังคับใดๆทั้งสิ้น ท่านผู้อ่านลองคิดภาพตามดู หากการเสนอกฎหมายทุกฉบับต้องนำกลับมาไล่ตามให้แต่ละคนตั้ง 200-300 คนเซ็นชื่อใหม่ ถ้าทำอย่างนั้นมันจะ “ยุ่งตายห่า” แค่ไหน

ดังนั้น จึงไม่มีที่ไหนในโลกเขาทำกัน แต่ถ้าบรรจุเข้าระเบียบวาระแล้ว ส.ส. คนไหนเห็นว่ามีมาตราไหนที่ไม่ตรงกับที่ตนลงชื่อเสนอก็ยกมือขอแก้ไขได้ แต่ต้องให้สภาอนุมัติ เพราะร่างที่บรรจุเข้าระเบียบแล้วเป็นร่างของสภา ไม่ใช่ร่างของคนที่เข้าชื่อเสนอคนใดคนหนึ่ง ซึ่งในกรณีของท่านอุดมเดชเมื่อร่างดังกล่าวถูกบรรจุในระเบียบวาระและเข้าสู่การพิจารณาของสภา ผมยืนยันแทนเองว่า ไม่มีใครทักท้วงอะไรเลย จนกระทั่งมีการพิจารณากันไปจนจบวาระ 3 แล้วนั่นแหละถึงจะมีการย้อนกลับไปเอาเรื่องเขาตั้งแต่ก่อนที่ประธานจะสั่งบรรจุเข้าระเบียบวาระ ไม่รู้เอาตรรกะหรือหลักกฎหมายอะไรมาอ้างอิง

ท่านผู้อ่านที่เคารพ ผมขอย้ำข้อเท็จจริงในประเด็นสำคัญของโศกนาฏกรรมที่นายอุดมเดช รัตนเสถียร พี่ชายและนักการเมืองน้ำดีที่ผมให้ความเคารพต้องโดนกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรมให้ทุกท่านทราบว่า อย่าว่าแต่นายอุดมเดชคนเดียวเลยที่จะไปสลับร่างตามที่ถูกกล่าวหา ต่อให้ร้อยอุดมเดชก็ไปสลับร่างอะไรไม่ได้ คนไม่เคยทำงานสภาอาจไม่ทราบว่าคำว่า “ร่าง” นั้น มันมีแค่ร่างเดียวคือร่างที่ประธานสั่งบรรจุเข้าระเบียบวาระนั่นแหละ เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วนายอุดมเดชจะไปเอาร่างที่ไหนมาสลับ?

บาปกรรมจริงๆที่ไปตั้งข้อกล่าวหาเขาอย่างนั้น แล้วลงโทษเขารุนแรงจนจะหมดอนาคตทางการเมืองถึงขนาดนั้น ส่วนที่ไปกล่าวหาว่านายอุดมเดชแก้ไขหลักการในร่างรัฐธรรมนูญก่อนที่จะเสนอประธานนั่นยิ่งบาปหนัก คนกล่าวหาทราบหรือไม่ว่า การที่เขาห้ามแก้ไขหลักการนั้นหมายถึงภายหลังจากที่บรรจุเข้าระเบียบวาระและสภาลงมติรับหลักการในวาระที่ 1 ไปแล้ว และที่สำคัญการขอแปรญัตติหรือกรรมาธิการแก้ไขเองต้องไม่ขัดกับหลักการที่สภาลงมติรับหลักการไปแล้วต่างหาก ซึ่งเป็นคนละเรื่องกันเลย

เรื่องทั้งหมดที่ผมนำมาบ่นในสัปดาห์นี้อาจไกลตัวท่านผู้อ่าน แต่ผมอยากจะเรียนว่าใครก็แล้วแต่ที่มีอำนาจปกครองบ้านเมือง ท่านต้องมีหลักการและยึดถือความถูกต้องที่เป็นหลักสากล ไม่ใช่อยากจะทำอะไรก็สั่งการเอาตามอำเภอใจ การไม่ยึดหลักการและปล่อยให้มีการดำเนินการที่อยุติธรรมเกิดขึ้น จะด้วยความไม่ตั้งใจหรือตั้งใจ เพื่อทำลายล้างอีกฝ่ายให้ได้มากที่สุดก็ตาม การทำเช่นนี้เท่ากับเป็นการเปิดเผยตัวตนให้พี่น้องประชาชนทุกคนได้เห็นกันชัดๆว่า สิ่งที่ท่านโฆษณาชวนเชื่อมาตลอดว่าท่านจำเป็นต้องเข้ามายึดอำนาจเพราะต้องการเข้ามาลดความขัดแย้งและสร้างความปรองดองให้กับคนในชาตินั้น ที่แท้ก็เป็นเพียงแค่ “วาทกรรมลวงโลกของคนดี” เท่านั้น!


You must be logged in to post a comment Login