วันพุธที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

อนาคตช่างทาสี / โดย ลอย ลมบน

On October 17, 2016

คอลัมน์ : จับกระแสการเมือง
ผู้เขียน : ลอย ลมบน

จากปัญหาไมค์ทองคำฝังเพชรที่จัดซื้อกันในราคาที่สูงกว่าปรกติ แล้วสรุปออกมาว่าโปร่งใส ไม่มีทุจริต แค่ส่วนต่างมากเกินไป

จากปัญหาอุทยานราชภักดิ์ ที่สรุปออกมาว่าโปร่งใส ไม่มีการทุจริต แค่มีแค่ค่าดำเนินการเพื่อให้ได้งาน

จากปัญหาน้องสะใภ้ “บิ๊กตู่” ที่ไม่มียศมีตำแหน่งอะไร แต่สามารถเบิกเครื่องบินกองทัพไปใช้ปฏิบัติหน้าที่ได้ ที่สรุปออกมาว่าเป็นเรื่องของวัฒนธรรมในองค์กรจนถูกวิจารณ์หนัก ต้องมาแก้ว่าไม่ใช่วัฒนธรรมองค์กร แต่ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ขณะดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นผู้ทำหนังสือขอใช้เครื่องบินเอง เพียงแต่ไม่ได้เดินทางไปด้วย

จากปัญหาลูกชาย พล.อ.ปรีชาใช้บ้านพักข้าราชการในค่ายทหารจดทะเบียนเป็นที่ตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดทำธุรกิจประมูลงานในพื้นที่กองทัพภาคที่ 3 ซึ่งบิดาเคยเป็นแม่ทัพภาคอยู่ที่นั่น เป็นเรื่องที่ใครก็ทำได้เพราะเป็นการประมูลงานแข่งขันตามปรกติ ทั้งที่มีข้อสงสัยว่าคู่แข่งเป็นเจ้าเดิมๆและแพ้ประมูลกันในหลักพันบาท

จากการที่ พล.อ.ปรีชาแต่งตั้งลูกชายเข้ารับราชการทหาร ที่ได้ข้อสรุปว่าไม่เป็นการใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์คนใกล้ชิด

จากปัญหาทริปบินประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน-สหรัฐที่ฮาวายที่ถูกวิจารณ์เรื่องเช่าเหมาลำเครื่องบินลำโตในราคาแพงหูฉี่ทั้งที่มีผู้โดยสารแค่ 38 คน แถมค่าอาหารบนเครื่องแพงระยับ ที่ได้ข้อสรุปว่าราคาเช่าเหมาลำเหมาะสม การเดินทางโดยสายการบินไทยเป็นเรื่องของหน้าตาเพราะไปในนามประเทศ ส่วนการเสิร์ฟไข่ปลาคาเวียร์ให้วีไอพีเป็นเรื่องปรกติเหมือนเสิร์ฟน้ำบนรถทัวร์ เพราะคิดรวมไปในค่าบริการแล้ว ถึงไม่กินก็ต้องจ่ายเงิน

นอกจากนี้ยังมีเรื่องต่างๆอีกหลายเรื่องที่สร้างบาดแผลให้กับรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

แม้ข้อครหาต่างๆเหล่านี้ไม่ได้เกิดกับตัว พล.อ.ประยุทธ์โดยตรง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ารัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้บริสุทธิ์ผุดผ่องที่จะพูดถึงเรื่องคุณธรรม จริยธรรม การปราบโกง ได้อย่างเต็มปากอีกต่อไปแล้ว

น้ำหนักของการชี้หน้ากล่าวหานักการเมืองว่าชั่ว เลว ทุจริต ก็ลดน้อยลงไปด้วย

จะเห็นได้ว่าจากหลายกรณีที่เกิดขึ้น ไม่เพียงแต่นักการเมืองหรือประชาชนที่ถูกมองว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลทหาร คสช. เท่านั้นที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์

แต่คนกันเองหลายคนที่เปิดหน้าเป็นฝ่ายสนับสนุนรัฐประหารและสนับสนุนรัฐบาลทหาร คสช. ก็มีไม่น้อยที่ออกมาบ่นทำนองว่าทำให้เชียร์ได้ไม่สุดเสียง และมีข้อเสนอต่างๆมากมายให้ พล.อ.ประยุทธ์ดำเนินการแก้ไขหากยังอยากกุมหัวใจของผู้สนับสนุนเอาไว้ เช่น การปรับเปลี่ยนคนที่มีปัญหาออก

สถานะของ พล.อ.ประยุทธ์ตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากสมัยที่นายชวน หลีกภัย และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ที่สังคมต่างยอมรับว่าตัวผู้นำไม่มีปัญหา แต่คนรอบข้างมีปัญหา

แต่เมื่อคนรอบข้างมีปัญหาแล้วเลือกที่จะใช้ตัวเองเป็นเกราะกำบัง หรือเป็นตราประทับรับรองให้คนอื่น

ยิ่งประทับตรารับรองให้คนอื่นมากเท่าไร ความชอบธรรมในตัวเองจะยิ่งลดน้อยลง

การทำตัวเป็นเกราะป้องกันให้คนอื่นที่ทำผิดพลาดหรือประพฤติไม่เหมาะสมก็เหมือนทำตัวเป็นช่างทาสีที่คอยถือกระป๋องสีขาวไว้ทาปิดทับร่องรอยความไม่ถูกต้องที่คนรอบข้างสร้างขึ้น

เมื่อทาบ่อยๆเข้าสีก็ลดน้อยลง จางลง และจะหมดไปในที่สุด

แม้จะมีอำนาจพิเศษอย่างมาตรา 44 หรือรัฐธรรมนูญชั่วคราวที่นิรโทษกรรมให้ตัวเองเอาไว้ล่วงหน้าแล้วในทุกกรณี แต่ไม่ได้หมายความว่าข้อเท็จจริงต่างๆที่ถูกทาสีปิดทับเอาไว้ตอนนี้จะปรากฏขึ้นมาในภายหลังเมื่อพ้นจากอำนาจไปแล้วไม่ได้

ถึงจะเอาผิดไม่ได้ แต่ความจริงถูกตีแผ่ให้ประชาชนรับรู้ได้

ยิ่งกลไกตรวจสอบทำงานผิดเพี้ยนไร้มาตรฐานเพื่อหวังเอาใจคนมีอำนาจจะยิ่งพากันเข้ารกเข้าพง กู่ไม่กลับ

ขณะนี้รัฐบาลทหาร คสช. เกิดแผลขึ้นแล้ว อยู่ที่ผู้นำว่าจะเลือกจัดการกับแผลนี้อย่างไร

จะแค่ทายาเอาสำลีปิดไว้เหมือนอย่างที่ทำอยู่ในตอนนี้ หรือเลือกที่จะขูดเนื้อร้ายออกเพื่อให้แผลหายสนิท

แต่ดูแล้วท่านผู้นำคงไม่เลือกขูดเนื้อร้ายทิ้งเพื่อรักษาแผลให้หายสนิท เพราะต้องรักษาน้ำใจคนที่เสี่ยงถือปืนออกมายึดอำนาจด้วยกัน และเคยลั่นวาจาเอาไว้แล้วว่าไม่ทิ้งใคร

เมื่อเลือกทำแค่ทายาเอาสำลีปิดก็ต้องระวังไม่ให้แผลติดเชื้อ เพราะจะลุกลามบานปลายเป็นเรื่องใหญ่ที่จะส่งผลต่อความมั่นคงของรัฐบาลทหาร คสช. ในภาพรวมได้

ฝ่ายตรงข้ามเห็นแผลแตกแล้วและกำลังช่วยกันย้ำเพื่อเปิดแผลให้กว้างมากขึ้น หากมีเรื่องอื้อฉาวออกมาอีกไม่น่าจะเป็นผลดี แผลเก่ายังไม่หายอย่าให้มีแผลใหม่เด็ดขาด

ถ้าแผลติดเชื้อขึ้นมาเกรงว่าร่างกายจะรับไม่ไหว สุดท้ายจะมีสภาพไม่ต่างจากช่างทาสีรุ่นพี่ที่ลงจากอำนาจอย่างไม่สง่างาม


You must be logged in to post a comment Login