วันศุกร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2567

ปาหี่เปิดไฟไล่โกง!? / โดย น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ

On September 29, 2016

คอลัมน์ : โดนไป บ่นไป
ผู้เขียน : น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ

ย่างเข้าสู่เดือนตุลาคม เดือนแรกในไตรมาสสุดท้ายของปี 2559 เหลืออีกเพียง 3 เดือนก็จะสิ้นปี ผมดูปฏิทินการเมืองแล้วเราคงต้องรอไปอีกนานพอสมควรกว่าจะมีการเลือกตั้ง เพราะหลังจากมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับประชามติอย่างเป็นทางการ เรายังต้องรอการออกกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญอีกหลายฉบับที่จะต้องนำมาใช้สำหรับการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.บ.พรรคการเมือง พ.ร.บ.การเลือกตั้ง และอื่นๆอีกเพียบ ก็ไม่แน่ใจว่าจะปั่นให้เสร็จทันตามโรดแม็พที่ประกาศไว้ได้จริงหรือเปล่า?

ผมเชื่อว่าถ้ายังไม่มีการเลือกตั้งก็อย่าหวังว่าสภาพเศรษฐกิจของประเทศไทยจะดีขึ้น แม้โพลหลากหลายสำนักจะมีผลสำรวจออกมาสนับสนุนรัฐบาลแบบไม่ลืมหูลืมตา และรัฐบาลทหารพยายามตีปี๊บส่งเสียงดังว่าเรากำลังเดินหน้าไปถูกทางแล้ว แต่สภาพความจริงที่พี่น้องประชาชนต้องประสบและสัมผัสอยู่ทุกวันช่างต่างจากการโฆษณาชวนเชื่อของผู้มีอำนาจราวฟ้ากับเหว ผมพอเข้าใจได้ว่าสถานการณ์ย่ำแย่แบบนี้ การสร้างขวัญกำลังใจให้ตนเองและพวกพ้องถือเป็นสิ่งที่จำเป็น

นอกเหนือจากเรื่องปากท้องที่แย่ลงไปเรื่อยๆแบบไร้อนาคตแล้ว ผมคิดว่าก็ยังมีเรื่องที่ควรชมเชยรัฐบาลทหารอยู่บ้างเหมือนกัน นั่นคือการประกาศสงครามกับการทุจริตคอร์รัปชันในทุกรูปแบบ โดยเมื่อเร็วๆนี้ท่านผู้นำสูงสุดก็เดินทางไปร่วมงาน “เปิดไฟไล่โกง” ที่ท้องสนามหลวง และยืนยันกับชาวไทยอย่างมาดมั่นว่า ในยุครัฐบาล คสช. ของท่าน การทุจริตคอร์รัปชันจะต้องหมดสิ้นไป

เรื่องนี้ถ้าท่านมีความมุ่งมั่นตั้งใจจริงในการแก้ไขปัญหา ผมเชื่อว่าพี่น้องประชาชนทุกคนคงต้องอนุโมทนาสาธุไปกับท่านด้วยอย่างแน่นอน เพราะการกระทำเช่นนี้ย่อมถือเป็นคุณูปการแก่บ้านแก่เมืองอย่างที่ใครปฏิเสธไม่ได้ และผมคนหนึ่งแหละที่พร้อมจะยกมือทั้ง 2 ข้างสนับสนุนนโยบายนี้ด้วยความจริงใจ

แต่เรื่องดีๆเช่นนี้ก็มีคำครหาให้ได้ยินมาจนได้ เพราะเมื่อเร็วๆนี้ผู้ที่ติดตามข่าวสารบ้านเมืองอย่างใกล้ชิดคงมองเห็นหรือได้ยินข่าวเกี่ยวกับพฤติกรรมของ “น้องชาย” นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นนายทหารใหญ่ตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม พร้อมกับครอบครัวมาบ้างไม่มากก็น้อย โดยพฤติกรรมดังกล่าวหากเราฟังเสียงสะท้อนจากความเห็นต่างๆของชาวไซเบอร์และบุคคลทั่วไปจะพบว่าคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยเห็นด้วยกับการกระทำเหล่านั้น และคิดว่าบางเรื่องอาจเข้าข่ายการกระทำความผิดทุจริตต่อหน้าที่เลยด้วยซ้ำ

ก่อนอื่นผมขอยืนยันเสียก่อนว่า ผมเองไม่บังอาจไปกล่าวหาใครทั้งสิ้น เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นได้ปรากฏประจักษ์ต่อสาธารณะไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น ใครถูกใครผิดย่อมขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงที่ผู้รับผิดชอบจะต้องนำไปพิสูจน์ต่อไป แต่สิ่งที่ผมจะนำมาบ่นให้ฟังในสัปดาห์นี้คือ กระบวนการยุติธรรมที่ต้องพร้อมตรวจสอบทุกคนโดยไม่เลือกปฏิบัติ ไม่ว่าคุณจะเป็นใครและยิ่งใหญ่เพียงใดก็ตาม

นับตั้งแต่มีข่าวเรื่องการค้นพบเงินจำนวนไม่น้อยในบัญชีของภรรยาท่านปลัดตอนแจ้งบัญชีทรัพย์สินกับ ป.ป.ช. ซึ่งต่อมามีการชี้แจงว่าเป็นความเข้าใจผิด เพราะเงินดังกล่าวไม่ใช่เงินของภรรยาท่าน แต่เป็นเงินของกองทัพที่ฝากไว้ในชื่อของภรรยาท่าน เรื่องนี้ต้องยอมรับว่าแม้จะมีการชี้แจงออกมาแล้ว แต่สังคมก็ยังไม่สิ้นความสงสัย เพราะหากเชื่อตามคำชี้แจงว่าเป็นเงินของกองทัพจริงๆก็ยังมีคำถามต่อว่า แล้วมันเข้าไปอยู่ในบัญชีของภรรยาท่านได้อย่างไร แต่เนื่องจากเรื่องนี้อยู่ในความรับผิดชอบของ ป.ป.ช. อยู่แล้ว ดังนั้น สังคมจึงค่อยๆหันเหความสนใจออกจากเรื่องนี้ไปในเวลาต่อมา

หลังจากนั้นอีกไม่นานเมื่อท่านเข้ามาดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหมก็มีเรื่องอื้อฉาวที่สังคมนำมาวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง เมื่อท่านลงนามในคำสั่งบรรจุลูกชายของตัวเองเข้ารับราชการเป็นนายทหารสัญญาบัตรของกองทัพ เรื่องนี้แม้ท่านจะชี้แจงว่า “ได้ดำเนินการทุกอย่างเป็นไปตามระเบียบอย่างถูกต้อง” และกล่าวว่า “ใครๆเขาก็ทำแบบนี้กันทั้งนั้น” แต่สังคมส่วนใหญ่อาจจะเห็นต่างจากท่าน เพราะคำถามสำคัญไม่ใช่เรื่องของระเบียบ แต่เป็นเรื่อง “จริยธรรม” ว่าการกระทำเช่นนี้เหมาะสมหรือไม่ต่างหาก

เรื่องของท่านเงียบหายไปพักใหญ่ๆ แต่ในทันทีที่มีการนำรูปของภรรยาท่านขณะออกไปปฏิบัติภารกิจของสมาคมแม่บ้านปลัดกระทรวงกลาโหมออกเผยแพร่ทางโซเชียลเน็ตเวิร์ค ท่านและครอบครัวก็กลับเข้ามาอยู่ภายใต้สปอตไลท์ของสังคมอีกครั้ง แม้จะมีการชี้แจงออกมาภายหลังว่าภาพดังกล่าวเป็นภารกิจการมอบฝายให้กับชาวบ้าน ซึ่งเป็นโครงการของสมาคมแม่บ้านที่มีภรรยาท่านเป็นนายกสมาคมออกไปทำประโยชน์ให้กับพี่น้องประชาชนก็ตาม

เพราะงบประมาณในการทำฝายครั้งนี้ถูกอย่างเหลือเชื่อเพียง 7,800 บาท ดังนั้น สังคมจึงอดตั้งคำถามไม่ได้ว่า ในขณะที่ชาวบ้านได้รับประโยชน์จากฝายราคาไม่ถึงหมื่น แต่การต้อนรับใหญ่โตที่เกิดขึ้น ตลอดจนค่าเครื่องบินที่กองทัพอากาศจัดเพื่อบริการภรรยาท่านและคณะน่าจะเป็นเงินจำนวนไม่น้อย หากเอางบประมาณมหาศาลดังกล่าวมาทำฝายให้ชาวบ้านเพิ่มเติมเชื่อว่าคงจะทำได้เป็นร้อยฝาย

เรื่องนี้หากท่านใช้เงินตัวเอง ผมเชื่อว่าคงไม่มีใครกล้าวิพากษ์วิจารณ์อย่างแน่นอน แต่เมื่อเป็นเงินที่มาจากภาษีของประชาชน การปฏิบัติภารกิจแบบตำน้ำพริกละลายแม่น้ำเช่นนี้จึงถูกมองว่าเป็นการเอาอกเอาใจและโปรโมตภรรยาของท่านมากกว่า แม้ท่านจะอ้างว่าการดำเนินการทุกอย่างเป็นไปตามระเบียบ แต่เรื่องนี้คำถามสำคัญไม่ใช่เรื่องของระเบียบ แต่เป็นเรื่อง “จริยธรรม” ว่าเหมาะสมหรือไม่เช่นกัน

หลังจากเรื่องฝายก็มีเรื่องร้อนอื่นๆตามมาอีกทันที เมื่อสำนักข่าวดังแห่งหนึ่งนำเรื่องบริษัทลูกชายของท่านชนะการประมูลงานของกองทัพภาคที่ 3 มาเปิดเผยต่อสาธารณะ โดยมีการตั้งข้อสังเกตความไม่ชอบมาพากลในเรื่องนี้อยู่หลายประเด็น ตั้งแต่เรื่องทุนจดทะเบียนบริษัท มูลค่าของโครงการที่ชนะการประมูล ที่ตั้งของบริษัท การชนะการประมูลเหนือคู่แข่งในโครงการเกือบร้อยล้านบาทด้วยราคาที่ห่างกันเพียงหลักพันบาท เป็นต้น

ประเด็นเหล่านี้ล้วนแล้วแต่นำมาสู่คำถามของสังคมว่า บริษัทของลูกชายท่านชนะการประมูลโครงการเหล่านี้มาได้อย่างไร ผมเชื่อว่าท่านคงมีคำชี้แจงแบบเดิมๆว่า การประมูลดังกล่าวเป็นไปตามระเบียบของทางราชการและใครๆเขาก็ทำแบบนี้กันทั้งนั้น แต่ในกรณีนี้นักกฎหมายหลายท่านอาจจะไม่เห็นด้วย เพราะหากบริษัทนี้ไม่ได้เป็นบริษัทของลูกชายท่านที่มีคุณพ่อเป็นปลัดกระทรวงกลาโหมและมีคุณลุงเป็นนายกรัฐมนตรี บริษัทนี้จะชนะการประมูลที่มีคู่แข่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่เขี้ยวลากดินมาได้อย่างไร?

และโปรดอย่าลืมว่า แม้ท่านจะฉีกรัฐธรรมนูญฉบับเก่าทิ้งไปแล้ว แต่ “พ.ร.บ.ฮั้วประมูล” หรือ “พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ” ยังอยู่ แม้นายกรัฐมนตรีจะออกมาแสดงความเป็นห่วงท่านปลัดและครอบครัวในฐานะพี่ชายที่แสนดี ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าซาบซึ้งก็ตาม แต่การเปิดไฟไล่โกงจะสำเร็จหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าใต้แสงไฟดังกล่าว ท่านจะจัดการกับทุกคนที่ท่านเห็นจริงหรือไม่? หรือการเปิดไฟไล่โกงเป็นเพียงแค่ปาหี่เอาไว้หลอกสาวกของตัวเองเท่านั้น!


You must be logged in to post a comment Login