วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2567

เรื่องของเวลา

On April 2, 2021

คอลัมน์ : สันติธรรม

ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 2-9 เม.ย. 64 )

เวลาเหมือนวารีที่ไหลไปแล้วไม่ย้อนกลับ เวลาเกิดจากการที่โลกหมุนรอบตัวเองเป็นเวลา 1 วัน และโคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นเวลา 1 ปี แม้โลกหมุนรอบแกนของตัวเองเป็นเวลา 1 วัน แต่เวลากลางวันที่ขั้วโลกเหนือยาวกว่าเวลากลางวันของโลกที่เส้นศูนย์สูตร และมนุษย์รู้สึกว่าเวลาแห่งความสุขช่างแสนสั้นกว่าเวลาแห่งความทุกข์ทั้งๆที่เข็มนาฬิกาบอกเวลา 1 ชั่วโมงเท่ากัน

เวลารับใช้กฎของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ที่พระเจ้าได้กำหนดไว้ เมื่อเวลาแห่งความตายมาถึงใคร คนผู้นั้นต้องจบชีวิตลงอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ไม่ว่าคนผู้นั้นจะอยู่ที่ไหนก็ตาม

พระเจ้าจึงอยู่เหนือกาลเวลา ถ้าพระเจ้าจะให้เวลาผ่านชีวิตของใครไปนับหลายร้อยปีโดยที่เขาไม่แก่ก็สามารถทำได้ แต่สำหรับความตายนั้น พระองค์ได้กำหนดไว้แล้วว่ามนุษย์ทุกคนต้องตาย

ในคัมภีร์ไบเบิลและคัมภีร์กุรอานมีเรื่องราวของกาลเวลาที่ไหลผ่านเลยเด็กหนุ่มกลุ่มหนึ่งไปนับหลายร้อยปีโดยที่เด็กหนุ่มกลุ่มนี้ไม่มีความแก่ตามกาลเวลา

เด็กหนุ่มกลุ่มนี้เป็นสานุศิษย์ของพระเยซู และเข้าไปเผยแผ่เรื่องความศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวในอาณาจักรโรมันขณะที่ผู้คนยังเคารพกราบไหว้ดวงดาวและเชื่อในโชคลางไสยศาสตร์ เด็กหนุ่มกลุ่มนี้ถูกกษัตริย์โรมันตัดสินลงโทษประหารชีวิตหากไม่เลิกศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว แต่กษัตริย์ก็ให้เวลาเด็กหนุ่มกลุ่มนี้คิดทบทวนเพื่อตัดสินใจ

ในช่วงเวลาที่ยังไม่ถูกลงโทษนี้เอง เด็กหนุ่มกลุ่มนี้ได้หลบหนีออกจากเมืองไปหลบซ่อนอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง ระหว่างที่อยู่ในถ้ำเด็กหนุ่มทุกคนได้หลับไปเพราะความเหนื่อยล้า เมื่อตื่นขึ้นมาทุกคนรู้สึกหิว แต่เพราะความกลัวว่าจะถูกจับตัว เด็กหนุ่มกลุ่มนี้จึงให้เพื่อนคนหนึ่งออกจากถ้ำไปซื้ออาหารในเมือง

เมื่อเด็กหนุ่มนำเหรียญกษาปณ์ไปซื้ออาหารในเมือง เจ้าของร้านบอกว่าเหรียญกษาปณ์ของเด็กหนุ่มเป็นเหรียญที่ใช้เมื่อ 200 กว่าปีก่อน และตอนนี้กลายเป็นวัตถุโบราณไปแล้ว แต่หลังจากซักถามความเป็นมาของเด็กหนุ่ม เจ้าของร้านได้ให้อาหารแก่เด็กหนุ่มไปจำนวนหนึ่ง

ในตอนนั้นชาวคริสเตียนในอาณาจักรโรมันกำลังถกเถียงกันในเรื่องการฟื้นคืนชีพหลังความตาย แต่พอผู้คนรู้เรื่องราวของเด็กหนุ่มที่หลับไปนานกว่า 200 ปี ผู้คนจึงเข้าใจและเกิดความเชื่อมั่นศรัทธา

เรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงนี้ชาวคริสเตียนรู้จักกันว่า “ผู้หลับใหลทั้งเจ็ด” (Seven Sleepers) และถ้ำที่เด็กหนุ่มกลุ่มนี้เข้าไปหลบภัยนั้นอยู่ที่ประเทศจอร์แดนในปัจจุบัน

เมื่อพระเจ้าสามารถให้เวลาผ่านผู้หลับใหลทั้งเจ็ดไปได้ พระเจ้าก็สามารถทำให้ใครบางคนเดินทางเร็วกว่าเวลาเหมือนกับที่มนุษย์สามารถสร้างเครื่องบินที่บินเร็วกว่าเสียงได้

เรื่องนี้เกิดขึ้นกับนบีมุฮัมมัดในช่วงเวลาที่ท่านกำลังอยู่ในสภาวะลำบากที่สุดจากการถูกต่อต้าน และโศกเศร้าที่สุดจากการสูญเสียลุงและภรรยาผู้เป็นที่รักที่สุดของท่าน

คืนหนึ่งขณะที่ท่านกำลังนอนอยู่แต่ไม่ได้หลับ ทูตสวรรค์ได้มาหาท่านและนำท่านขึ้นหลังสัตว์พาหนะที่มีขนาดใหญ่กว่าลาแต่เล็กกว่าล่อ สัตว์พาหนะตัวนี้มีชื่อว่า “บุรอก” ซึ่งแปลว่าฟ้าแลบ

ด้วยพาหนะนี้ทูตสวรรค์ได้นำนบีมุฮัมมัดเดินทางจากมักก๊ะฮฺไปยังมัสยิดอัลอักซอซึ่งมีระยะทางเกือบ 2,000 กิโลเมตร ถ้าเดินทางโดยเครื่องบินต้องใช้เวลา 2 ชั่วโมง ที่มัสยิดอัลอักซอ เวลาในอดีตที่ผ่านมาได้ถูกย่นย่อให้ท่านได้พบกับนบีคนก่อนๆทั้งหมดและได้ละหมาดร่วมกันโดยท่านเป็นผู้นำการละหมาด

หลังจากนั้นทูตสวรรค์ได้นำท่านขึ้นสู่ชั้นฟ้าต่างๆจนถึงฟ้าชั้นสูงสุดที่มนุษย์ไม่สามารถข้ามผ่านไปได้อีกแล้ว ในวาระโอกาสนั้นเองที่ท่านได้รับคำบัญชาเรื่องการละหมาดจากพระเจ้า

เสร็จจากการรับคำบัญชานบีมุฮัมมัดได้กลับลงมายังมักก๊ะฮฺภายในคืนเดียวกันนั้นเอง นี่คือสิ่งมหัศจรรย์ที่พระเจ้าให้เกิดขึ้นแก่ท่านเพื่อเป็นหลักฐานให้ชาวอาหรับรู้ว่าท่านมาจากพระเจ้า เพราะเมื่อท่านเล่าเรื่องนี้ให้ชาวอาหรับฟัง ชาวอาหรับได้หาว่าท่านโกหก ท่านจึงบอกว่าท่านเห็นกองคาราวานของคนนั้นคนนี้กำลังเดินทางกลับมายังมักก๊ะฮฺ หลังจากนั้นอีกหลายสัปดาห์เมื่อกองคาราวานเหล่านั้นมาถึงเมืองมักก๊ะฮฺและถูกสอบถาม ชาวอาหรับจึงรู้ว่านบีมุฮัมมัดพูดจริง

การเดินทางอันมหัศจรรย์ของนบีมุฮัมมัดในยามค่ำคืนนี้มี 2 ส่วน ส่วนแรกจากมักก๊ะฮฺสู่มัสยิดอัลอักซอในเยรูซาเล็มเรียกว่า “อิสรอ” และส่วนที่สองจากมัสยิดอัลอักซอสู่ชั้นฟ้าเรียกว่า “มิอ์รอจญ์”


You must be logged in to post a comment Login