วันศุกร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2567

หวานเจี๊ยบกลายเป็นขมขื่น

On February 18, 2021

คอลัมน์ : สำนัก(ข่าว)พระพยอม

ผู้เขียน : พระพยอม กัลยาโณ

(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 18 ก.พ. 64 )

ที่เขาพูดกันว่าเรื่องผัวๆเมียๆเป็นเรื่องดราม่า เป็นละครไม่รู้จักจบ จบยาก แต่เรื่องของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นอดีตนายทหารใหญ่ เรียกว่าผ่านศึกเหนือเสือใต้มามากมาย ทำคุณทำประโยชน์ให้ประเทศชาติมาก็ไม่ใช่น้อย ใครจะนึกว่าต้องมาหย่าร้างและมีเรื่องฟ้องร้องกับคุณหญิงพันธุ์เครือ ยงใจยุทธ ตอนอายุ 88 ปี โดยอยู่กันมา 51 ปี 3 เดือน เกือบจะถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชรอยู่แล้ว

พล.อ.ชวลิตชี้แจงว่า สัญญาในใบหย่าได้มอบทรัพย์สินให้คุณหญิงพันธุ์เครือ โดยมีเจตนาเพื่อให้แบ่งสันปันส่วนให้ลูกหลาน แต่คุณหญิงพันธุ์เครือกลับนำไปขายและจำนองโดยไม่ทราบว่านำเงินไปทำอะไร ส่วนคุณหญิงพันธุ์เครือให้ทนายความทำหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงการฟ้องหย่าของ พล.อ.ชวลิต ระบุว่าไม่เคยทราบมาก่อนว่า พล.อ.ชวลิตมีผู้หญิงดูแลก่อนหย่าถึง 10 ปี

คุณหญิงพันธุ์เครือบอกว่า ส่วนตัวไม่มีเหตุผลที่จะขอหย่า เพราะอยู่กินกันมานานถึง 51 ปี 3 เดือน แม้ไม่มีบุตรด้วยกัน โดยตลอดเวลาที่ผ่านมาทำหน้าที่ภริยาอย่างดี เชิดชูเกียรติยศ ศักดิ์ศรี และหน้าที่การงานให้ พล.อ.ชวลิต สนับสนุนงานในกองทัพและการเมืองเต็มกำลัง สนับสนุนเงินทุนและบริหารกิจการพรรคการเมือง ขณะหย่าตนมีอายุ 78 ปี ไม่มีเหตุผลใดจะไปขอหย่า คิดเพียงตั้งใจครองคู่ และหลังหย่ายังคงครองสถานะม่าย

ขณะที่ พล.อ.ชวลิตหย่าได้ไม่ถึง 8 เดือน ประกาศแต่งงานใหม่กับผู้หญิงที่บอกว่าดูแลกันมาเป็นเวลานับสิบปี ส่วนการลงลายมือชื่อคนแรกในใบหย่าไม่ใช่สาระสำคัญ เพราะต้องลงต่อหน้านายทะเบียน และระหว่าง พล.อ.ชวลิตหกล้มได้ดูแลรักษาร่วมกับบุตรชายคนโต ทำหน้าที่ภริยาครบถ้วนในฐานะคนเฝ้าไข้ และในบันทึกข้อตกลงหย่าระบุว่าสินสมรสยกให้คุณหญิงพันธุ์เครือ หากได้ทรัพย์สินเพิ่มภายหลังจะมอบให้คุณหญิงพันธุ์เครือตามสมควร และให้รับผิดชอบหนี้สินที่เกิดขึ้นระหว่างสมรสด้วย โดยปัจจุบันยังต้องชำระหนี้สินให้ พล.อ.ชวลิต

อยู่ด้วยกันมา 51 ปี 3 เดือน ไม่ใช่เรื่องธรรมดา คนเราอยู่กันมาขนาดนั้นแล้วไม่น่าต้องมาหย่าร้าง เขาบอกว่าคนรุ่นใหม่หย่ากันง่าย แต่ใครจะนึกว่ารุ่นเก๋าอย่างนี้ยังหย่ากันในวัยที่ถ้าพูดกันภาษาหยาบๆเรียกว่าวัยใกล้โลง คนที่เป็นลูกหลานคงนึกไม่ถึงเหมือนกันว่าพ่อแม่ปู่ย่าตายายของเราไม่สามารถประคองชีวิตคู่อยู่กันไปยันล้มหายตายจาก แต่กลับจากกันทั้งๆที่ยังมีลมหายใจอยู่ และเป็นลมหายใจช่วงท้ายๆของชีวิต

เป็นอันว่าสิ้นสุดตำนานรักของผู้ใหญ่ในแผ่นดินไทย เหลือแต่อดีตแห่งความรัก ส่วนเรื่องการฟ้องร้องกัน ถ้าไม่มีการฟ้องร้องก็คงไม่เป็นข่าว คงจะเงียบไป ถึงไปแต่งงานใหม่เขาก็คงเห็นเป็นเรื่องปกติในยุคสมัยใหม่ แต่สำหรับคนรุ่นเก่าคงจะทำให้เป็นที่แปลกใจ

ตอนนี้เห็นมีข่าวว่า คู่แต่งงานมีการหย่าร้างกันเกือบครึ่งต่อครึ่ง เกินความคาดหมายว่าชีวิตคู่ทำไมอยู่ได้ไม่ยั่งยืน ความชื่นมื่นมันไปไหน เขาบอกว่าชีวิตคู่ที่จะอยู่ยั่งยืนได้ต้องมีธรรมะอยู่ 4 ข้อคือ สัจจะ จริงใจต่อกัน ทมะ ข่มจิตข่มใจ ขันติ อดกลั้น อดทน จาคะ เสียสละ

ถามว่าทั้งสองคนขาดข้อไหนมากกว่ากัน ใครมีสัจจะ ใครจริงใจ ใครซื่อสัตย์ต่อคู่ครอง ใครมีทมะ ใครข่มจิตข่มใจ ทนอยู่กันด้วยขันติ ไม่เป็นขันแตก และใครเสียสละความต้องการให้อีกฝ่ายหนึ่ง สำหรับชีวิตคู่ของผู้มากด้วยอายุและตำแหน่งใหญ่โต ส่วนผู้หญิงก็เรียกว่าเคยเป็นเบอร์หนึ่งของเมืองไทย ต้องมาจบบั้นปลายชีวิต กลายเป็นเบอร์เท่าไรก็ไม่รู้ เพราะมีคนแย่งเบอร์หนึ่งไปแล้ว

อาตมาหวังว่าอีกไม่นานเราคงจะลืมเรื่องเหล่านี้ แต่ก็เอามาเป็นข้อเตือนใจว่า ใครที่คิดจะรักกัน แล้วรักไม่ชื่นมื่น ขมขื่น ตอนแรกสดชื่น มาขมขื่นในบั้นปลาย 51 ปี 3 เดือน ซึ่งเวลาที่ว่านี้ไม่สามารถเชื่อมความสัมพันธ์จนกระทั่งหลุดจากกันด้วยลมหายใจ แต่กลับต้องหลุดจากกันด้วยการฟ้องร้อง ก็ถือว่าน่าเห็นใจ อยู่ด้วยกันมาถึงขนาดนี้ แต่ฝ่ายชายกลับไม่เคยสำแดงว่าเป็นโซ่ข้อกลาง แล้วจะเป็นโซ่ข้อกลางให้ใครได้ ศรีภรรยายังคล้องไม่อยู่เลย

เรียกว่าโซ่ข้อกลางไม่มีความหมายต่อชีวิตของท่าน ไม่สามารถไปคล้องใครต่อใครให้เชื่อมกันได้ ที่เขาเคยพูดกันว่าบิ๊กจิ๋วหวานเจี๊ยบ ตอนนี้กลายเป็นขมขื่น ต้องฟ้องร้องกัน เป็นคดีต่อกัน

เรื่องที่เคยโดดเด่น เช่น โซ่ข้อกลาง จิ๋วหวานเจี๊ยบ ตอนนี้ขมหรือเปรี้ยวไม่รู้ ต้องห่างจากกันไปแล้ว โอกาสจะกลับมาคืนดีคงยาก เพราะเป็นบั้นปลายของชีวิตแล้ว และมีการฟ้องร้องกันด้วย คงจบกันที่ว่าศาลจะตัดสินให้สมบัตินั้นกลับมาเป็นของใคร ต้องคอยติดตามดูกันต่อไป

เจริญพร


You must be logged in to post a comment Login