วันพฤหัสที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2567

กักตัวกักใจ

On April 24, 2020

คอลัมน์ : สันติธรรม

ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่  24 เม.ย.-1พ.ค. 2563)

ไม่มีใครมองเห็นตัวไวรัสโคโรนาที่เป็นสาเหตุของโรคโควิด-19 แต่เมื่อผู้คนเห็นความทรมานของคนติดโรคนี้ตอนใกล้ตายและการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของมัน ผู้คนทั่วโลกต่างพากันหวาดกลัวและยอมกักตัวอยู่กับบ้านตามมาตรการทางสาธารณสุข

พิษสงของไวรัสโคโรนาทำให้กิจวัตรประจำวันของมนุษย์ทั่วโลกหยุดนิ่ง สายการบินทั่วโลกต้องหยุดบิน ถนนสายสำคัญในเมืองต่างๆที่เคยมีผู้คนเดินขวักไขว่และเบียดเสียดปลอดจากผู้คนจนทำให้โลกร้างและว่างเปล่า

อาวุธทันสมัยที่ประเทศต่างๆแข่งขันกันทุ่มเทงบประมาณมหาศาลสะสมไว้ไม่อาจนำมาต่อกรไวรัสที่คุกคามมนุษย์ทั้งโลกได้เลย

ยังไม่ทันพ้นช่วงกักตัวเพื่อป้องกันอันตรายจากไวรัสโคโรนาที่ตามองไม่เห็น ตอนนี้มุสลิมในประเทศต่างๆทั่วโลกต้องเข้าสู่ช่วงกักใจควบคู่กันไป เนื่องจากเดือนรอมฎอนได้เข้ามาถึงแล้วในวันที่ 24 เมษายน 2563 เพราะตลอดทั้งเดือนรอมฎอน มุสลิมทุกคนที่เป็นผู้ใหญ่ทั้งชายและหญิงต้องถือศีลอดซึ่งเป็นศาสนกิจภาคบังคับ การละเว้นโดยเจตนาถือเป็นบาปใหญ่แม้ยังมิได้ทำอะไรที่มนุษย์ถือว่าเป็นบาป เพราะเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของพระเจ้าไม่ต่างอะไรไปจากการออกมาเดินเล่นตากลมเฉยๆตอนกลางคืนในช่วงเวลาประกาศเคอร์ฟิว

การถือศีลอดเป็นมาตรการที่มีในทุกศาสนา เพื่อเป็นการฝึกคนให้กักใจไว้ห่างจากความชั่วที่รับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า เพราะศาสนามีหน้าที่คุ้มครองมนุษย์ให้พ้นจากบาปที่เป็นภัยต่อมนุษย์ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า

ramadan

เมื่อมนุษย์มีใจเป็นนาย มีกายเป็นบ่าว หากกักใจไว้ได้ กายก็อยู่ในความควบคุม ถ้าคุมใจไม่ได้ การลงโทษทางกฎหมายแม้จะรุนแรงแค่ไหนก็ไม่สามารถยับยั้งการทำผิดและทำชั่วได้

การถือศีลอดเป็นวิธีการที่จะช่วยกระตุ้นเตือนมนุษย์ในเรื่องนี้ การถือศีลอดจึงเป็นที่ปฏิบัติกันมาในรูปแบบต่างๆตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เช่น การอดอาหารแข็งของพระสงฆ์หลังฉันเพล การงดกินเนื้อสัตว์ในช่วงเทศกาลกินเจ เป็นต้น

แต่การถือศีลอดในอิสลามคือการงดเว้นจากการกิน การดื่ม การเสพ การมีความสัมพันธ์ทางเพศ การคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว ตั้งแต่ก่อนแสงอรุณจะปรากฏในท้องฟ้าและสิ้นสุดลงเมื่อดวงอาทิตย์ตกดินตลอดทั้งเดือนรอมฎอน

วัตถุประสงค์ของการถือศีลอดที่กล่าวไว้ในคัมภีร์กุรอานมีประการเดียว นั่นคือเพื่อให้ผู้ถือศีลอดเกิดความยำเกรงพระเจ้า ซึ่งเรียกในภาษาอาหรับว่า “ตักวา” หมายถึงการเชื่อว่าพระเจ้าเฝ้ามองการกระทำของเราอยู่ทุกขณะ แม้เราจะมองไม่เห็นพระองค์ก็ตาม

การอดอาหารและน้ำจึงไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อการทรมานตน แต่เป็นมาตรการทางกายภาพที่ต้องการเตือนให้ผู้ถือศีลอดละเว้นจากความชั่วและสิ่งที่พระเจ้าห้าม นบีมุฮัมมัดได้กล่าวว่า ใครที่ถือศีลอดและยังนินทาว่าร้ายหรือทะเลาะกับคนอื่นเพราะความโมโห การถือศีลอดของคนที่มีพฤติกรรมเช่นนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากการหิวกระหายธรรมดานั่นเอง เพราะยังคุมใจไม่ได้

ในเดือนรอมฎอน แม้แต่สามีภรรยาหากยังมีความสัมพันธ์ทางเพศในช่วงเวลาถือศีลอด กฎของศาสนาถือว่าเป็นความผิดที่ต้องถูกลงโทษ เพราะละเมิดคำสั่งเคอร์ฟิวของพระเจ้า โทษก็คือ หลังจากพ้นเดือนรอมฎอนไปแล้วทั้งสามีภรรยาคู่นั้นต้องถือศีลอดชดใช้เป็นเวลา 2 เดือนต่อเนื่องกัน หยุดถือศีลอดวันใดต้องเริ่มต้นนับใหม่ หรือไม่ก็เลี้ยงอาหารคนยากจน 60 คนแทนวันที่ไม่ได้ถือศีลอด หรือไม่ก็ปล่อยทาส 1 คน

บทเรียนที่อิสลามต้องการจะบอกคนถือศีลอดก็คือ เมื่อสิ่งจำเป็นต่อชีวิต เช่น ข้าวและน้ำยังละเว้นได้ ทำไมสิ่งที่ไม่จำเป็นเช่นอบายมุขต่างๆจะละเว้นไม่ได้


You must be logged in to post a comment Login