วันพฤหัสที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2567

“บิ๊กตู่” สั่งเตรียมรับมือโควิด-19 ลามสู่ระยะ 3 พร้อมปิดเมืองหากรุนแรงเทียบอู่ฮั่น

On March 18, 2020

วันนี้ (18 มี.ค. 2563) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยนายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ลงมาตรวจเยี่ยมให้นโยบายเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์บริการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังยกระดับมาตรการการป้องกันและการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นระดับที่ 3 พร้อมเปิดเผยภายหลังตรวจเยี่ยมว่า มาเยี่ยมศูนย์ฯและให้แนวปฏิบัติการทำงานแต่ละวันว่าควรจะเป็นอย่างไร และผลการประชุมแต่ละวันควรจะนำอะไรบ้างมาแถลงให้ประชาชนได้รับทราบเพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง ไม่เช่นนั้นจะจัดหมวดหมู่ไม่ได้ จะไปคนละทางสองทาง ทำให้เกิดความสับสน ขณะที่นายกฯไม่ได้นำส่วนนี้มาใช้ประโยชน์มากนัก เพราะข้อมูลมาจากหลายช่องทาง สิ่งสำคัญที่ทุกคนอยากทราบคือสถิติของแต่ละวัน ซึ่งเราต้องดูสถิติต่างประเทศด้วยเพื่อให้เกิดข้อเปรียบเทียบว่าบ้านเราดูแลได้ดีมากน้อยเพียงใด และดูว่าต่างประเทศทำได้มากน้อยเพียงใด ทุกอย่างมีผลร่วมกันทั้งสิ้น เราต้องนำมาร่วมพิจารณาเพื่อจะได้รู้ว่าเราอยู่ในระยะใด

“วันนี้ประเทศไทยเรายังอยู่ในขั้นตอนที่สามารถควบคุมได้พอสมควร แต่เมื่อใดที่ขั้นตอนถึงตรงนั้นก็ต้องไปถึงระยะที่ 3 อย่างแน่นอน วันนี้ผมจึงได้ให้แนวทางเตรียมมาตรการในระดับที่ 4 สำหรับเตรียมการรองรับ ส่วนมาตรการระดับที่ 3 ได้ออกเป็นมาตรการแล้วเมื่อวันที่ 17 มีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งต้องรอดูว่าจะมีผลกระทบอะไรเกิดขึ้นบ้าง หลายอย่างเพิ่งเริ่มดำเนินการ แต่หลายอย่างดำเนินการไปแล้ว มติคณะรัฐมนตรีก็ออกไปแล้วหลายส่วน ยอมรับว่ายุ่งยากในเรื่องของการเข้าถึงในการบริการ เพราะมีคนจำนวนมาก จึงได้สั่งการว่าขอให้ใช้ระบบออนไลน์บ้างได้หรือไม่ ซึ่งต้องให้เวลาฝ่ายปฏิบัติ เพราะต้องมีขั้นตอนการขึ้นทะเบียนต่างๆ ทุกคนจะต้องเข้าใจ ช่วยกันแนะนำกัน หลายคนหลายครั้งให้ไปแล้วก็เข้าไม่ถึง ทำไม่เป็น ดังนั้น ครอบครัว พี่ เพื่อน น้อง ก็ต้องช่วยกัน”

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า การใช้ดิจิทัลและระบบออนไลน์เป็นสิ่งสำคัญในขณะนี้ เพราะต้องให้บริการคนจำนวนมาก เมื่อขึ้นทะเบียนแล้วก็ต้องมีการตรวจสอบคัดกรอง จึงต้องใช้เวลาในส่วนนี้ ถ้าจะใช้วิธีเรียกคนมาจะใช้เวลามาก อาจจะมีการแพร่เชื้อกันเอง จึงต้องลดระดับตรงนี้ อย่างเช่น การเกณฑ์ทหารได้ทยอยดำเนินการแล้ว ซึ่งไม่รู้จะกี่ผลัด ก็จะทำจนกว่าจะเรียบร้อย เพราะเดิม 1 ปี จะมีทหาร 2 ผลัด แต่เมื่อถึงเดือนเมษายนนี้ไม่ได้เกณฑ์ทหาร กำลังพลจะหายไป 1 ใน 4 เมื่อเราเกณฑ์ยังไม่ได้อาจจะใช้วิธีการสมัครก่อน วันนี้มีคนสมัครเข้ามามากพอสมควร ถ้าสมัครได้ 30-40% กำลังพลเหล่านี้ก็จะเข้ามาก่อนได้ ทั้งการสมัครออนไลน์และการเปิดรับสมัครย่อยๆ จากนั้นก็จะทยอยกันเข้ามา ก็สามารถทดแทนได้ในระดับหนึ่ง ส่วนที่เหลือค่อยไปจัดการเกณฑ์เข้ามาอีกครั้ง

นายกฯกล่าวว่า สิ่งสำคัญวันนี้เรากำลังเตรียมรับมือระยะที่ 3 โดยเราได้มีมาตรการระดับที่ 4 ในการเตรียมการสถานที่ซึ่งอาจจะใช้คือ โรงพยาบาลทหาร โรงพยาบาลเอกชน และบางโรงพยาบาล แม้กระทั่งโรงแรมบางแห่งก็ต้องใช้เป็นสถานที่กักตัว (Quarantine) เพิ่มเติมขึ้น เราต้องเก็บข้อมูลและเตรียมการไว้ก่อนล่วงหน้าตั้งแต่วันนี้ เพราะเมื่อถึงเวลายกระดับเป็นการแพร่ระบาดในระยะที่ 3 มันจะยุ่งกันใหญ่ถึงขั้นปิดประเทศกันในขณะนั้น

“คำว่าปิดประเทศ หรือปิดพื้นที่ หรือปิดจังหวัด แบบนั้นคือการปิดซีล นั่นคือคำว่าปิด สิ่งที่ทำในปัจจุบันผมไม่ได้เรียกว่าปิด ผมเรียกว่าเป็นมาตรการเข้มข้น เป็นมาตรการสกัดกั้นคนเข้าออก มีการตรวจตราท่าเรือต่างๆ เป็นมาตรการระดับที่ 3 อยู่แล้ว บางครั้งก็อาจจะใช้คำพูดเลยไปนิด และถึงแม้ผู้ว่าราชการจังหวัดจะมีอำนาจอะไรก็ตาม แต่อำนาจเพิ่งให้ไปเมื่อวันที่ 17 มีนาคมที่ผ่านมา แต่ต้องรายงานมายังศูนย์ฯก่อน เรื่องนี้ผมไม่ว่ากันว่าใครผิดใครถูก ถือว่าวันนี้เขาได้ทำมาตรการที่เข้มงวดขึ้นมาแล้ว ก็ถือเป็นเรื่องดี เป็นตัวอย่างให้จังหวัดอื่นๆ แต่ถ้าใช้คำว่าปิดประเทศมันวุ่นวายไปหมด หรือปิดจังหวัด ถ้าปิดจังหวัดจริงคนก็เข้า-ออกไม่ได้ รถยนต์ต่างๆก็เข้าไม่ได้ ก็จะเหมือนกับเมืองอู่ฮั่น สาธารณรัฐประชาชนจีน ที่เคยท ที่ปิดเมือง เราคงไม่ต้องการขนาดนั้น ทั้งคน รถ เครื่องบินเข้า-ออกไม่ได้ แล้วจะอยู่กันไหวหรือ ถ้าสถานการณ์ยังไม่รุนแรงขนาดนั้น แต่ถ้าถึงขนาดนั้นจริงผมก็ต้องปิดอย่างที่ว่า แล้วอาหารการกินจะอยู่กินกันอย่างไร ก็ต้องเตรียมมาตรการกันอีก ขอให้เข้าใจตรงนี้ด้วย ไม่เช่นนั้นก็จะไปคนละทางสองทาง”

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ในส่วนของความขัดแย้งที่มีกระแสข่าวออกมา เท่าที่ตนได้เช็กดูก็ยังไม่เห็นมี เพียงแต่มีคนพูดตรงนั้นตรงนี้ออกมาตามโซเชียลบ้าง ตนก็เรียกทุกคนมาคุย ถามว่ามีปัญหากันหรือไม่ ทั้งในกระทรวงสาธารณสุข ในรัฐบาล หรือแม้แต่ในศูนย์ฯโควิด-19 ก็ยังไม่เห็นใครบอกมีปัญหา และไม่ใช่ว่าเขาไม่กล้าพูด เพราะตนเปิดโอกาสให้เข้าหาได้ทุกคน

“ผมเองก็เหนื่อยเหมือนกันนะที่คนทุกคนเข้าหาผมได้ในทุกๆช่องทาง อีกทั้งผมไม่ไปเสพแต่โซเชียลอย่างเดียว ไม่รู้ว่าใครเอาไปเขียนในโซเชียล ก็มีคนคัดกรองมาให้ผม แต่ละวันผมก็มีงานอื่นอยู่ ไม่ใช่แค่โควิด-19 เพียงอย่างเดียว” นายกฯกล่าว

เมื่อถามว่าจากการที่ประเทศมาเลเซียปิดประเทศ ทำให้คนไทยเริ่มเดินทางกลับประเทศ เรื่องนี้ได้รับรายงานหรือไม่ นายกฯกล่าวว่า คัดกรองหมด ทุกวันนี้คัดกรองหมด เตรียมการมาหลายวันแล้ว ส่วนหนึ่งทางมาเลเซียให้ขึ้นทะเบียนกับทางการมาเลเซียและอยู่ที่นั่นไม่ต้องออกมา ส่วนที่เดินทางกลับได้สั่งด่านตรวจที่มีศุลกากร ตม. และทุกกองกำลังตรวจสอบอยู่แล้ว ตรวจแยกคัดกรองเหมือนกับสนามบินและจุดตรวจถาวรทั้งหมด ส่วนที่เล็ดลอดมาทางชายแดน ช่องทางธรรมชาติ ทหารต้องควบคุมเข้าระบบคัดกรองให้หมด ปัญหาคือคนเยอะ บางคนปฏิบัติตาม บางคนไม่ปฏิบัติตาม นี่คือปัญหาที่เราจะสร้างความเชื่อมั่นได้อย่างไร รัฐบาลทำขนาดนี้ถ้าไม่เข้าใจมันก็ไปคนละอย่างสองอย่างหมด ทำตามใจใครคนใดคนหนึ่งไม่ได้ ต้องมาจากมาตรการทางการแพทย์ว่าควรต้องอยู่ตรงไหนระดับไหน ตนกล้าทำทุกอันเมื่อถึงเวลา และหากถึงเวลานั้นเราอาจไม่เจอกัน เพราะปิดประเทศ ปิดเมืองไปแล้ว

ผู้สื่อข่าวถามว่าวันนี้เริ่มมาตรการปิดพื้นที่เสี่ยงใน กทม. และปริมณฑลเป็นการชั่วคราว 14 วัน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด ได้รับความร่วมมือดีหรือไม่ นายกฯกล่าวว่า กำลังติดตามอยู่ ก็โอเค ต้องร่วมมือ เพราะเป็นประกาศออกไปแล้ว โดยมีคณะกรรมการควบคุมในระดับจังหวัดและ กทม. อยู่แล้ว ตรวจหมด และได้ตั้งคณะกรรมการระดับอำเภอไปแล้ว ประชาชนเข้าไปแจ้งได้ ส่วนการทำความสะอาดในพื้นที่ต่างๆ เจ้าของ ผู้ประกอบการต้องดำเนินการเอง โดยมีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเข้าไปตรวจให้ ให้แจ้งไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด แจ้งไปยังศูนย์ในพื้นที่

เมื่อถามว่ากรณีที่กลุ่มแรงงานต่างด้าวมารวมตัวกันเพื่อขอต่อใบอนุญาต ซึ่งจะหมดอายุในวันที่ 31 มีนาคมนี้ ทำให้หลายฝ่ายเป็นห่วงถึงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 นายกฯกล่าวว่า เรามีระบบบริการผ่านทางออนไลน์ที่กำลังดำเนินการและมีมาตรการอยู่ ขณะนี้ได้มีการขยายเวลาให้แล้ว

 


You must be logged in to post a comment Login