วันศุกร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2567

“สมพงษ์” นำทัพฝ่ายค้านเปิดฉากชำแหละ “บิ๊กตู่” 5 ข้อหาบริหารประเทศล้มเหลว

On February 24, 2020

วันนี้ (24 ก.พ. 63) ที่รัฐสภา เกียกกาย มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาญัตติการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลเป็นวันแรก โดยมีนายชวน หลีกภัย ประธานสภา เป็นประธานในการประชุม ทั้งนี้ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภา กล่าวเปิดอภิปรายว่า ตนขอเสนอญัตติเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลดังนี้ 1.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม 2.พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี 3.นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี 4.พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย 5.นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และ 6.ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายค้านจำเป็นต้องเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจเนื่องจากความไร้ประสิทธิภาพ ความล้มเหลวในการบริหารประเทศ การทุจริต เอื้อประโยชน์พวกพ้อง การใช้อำนาจโดยมิชอบ ที่ก่อให้เกิดความล้มเหลว 5 ประการคือ 1.ความล้มเหลวต่อการสร้างความเชื่อมั่นการเมืองในระบอบประชาธิปไตย มีการพูดกันว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่ร่างมาเพื่อพวกเรา อาศัยเสื้อคลุมประชาธิปไตยมากล่าวอ้าง ตำแหน่งนายกฯของท่านมิได้มาจากเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน แต่เพราะเงื่อนไขในรัฐธรรมนูญที่สร้างมาเพื่อสืบทอดอำนาจนำพาให้กลับมาเป็นนายกฯอีกครั้ง

เงื่อนไขกลไกรัฐธรรมนูญบั่นทอนความเชื่อมั่นของนานาประเทศ ส่งผลกระทบรุนแรงต่อความมั่นใจในการลงทุน เกือบทุกประเทศไม่เปิดใจยอมรับประเทศไม่เป็นประชาธิปไตย จึงไม่อาจไว้วางใจให้อยู่ในตำแหน่งต่อไปเพื่อกร่อนเซาะระบอบประชาธิปไตยประเทศให้ถดถอยผิดรูปร่าง อับอายชาวโลก ไม่อาจไว้วางใจให้ส่งต่อประชาธิปไตยจอมปลอมถึงรุ่นลูกหลานที่เป็นอนาคตของชาติ

2.ความล้มเหลวในการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ทำให้หลักความยุติธรรมแปลงร่างเป็นหลักกูและพวกพ้องอย่างไม่รู้สึกอับอาย เช่น ตีความข้อกฎหมายกับคะแนนปัดเศษเพื่อเพิ่มช่องทางให้ได้พรรคเล็กมาหนุนเสริมอำนาจตน การถวายสัตย์ฯไม่ครบตามรัฐธรรมนูญ ที่เลวร้ายสุดคือ การใช้คดีความเป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งกดดันบุคคลบางกลุ่มเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อพวกท่าน ไม่คำนึงถึงการทำลายหลักความยุติธรรม ทำเรื่องผิดเป็นถูก เป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ ทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์เฉพาะหน้าแห่งตน ไม่คิดถึงอนาคตประเทศ

3.ความล้มเหลวการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ แบ่งเป็น 4 ช่วงคือ ระยะที่ 1 พ.ศ. 2557-2558 ทำลายเศรษฐกิจฐานราก ยกเลิกมาตรการสนับสนุนสินค้าการเกษตรเกือบทั้งหมดแบบกะทันหัน เพราะกลัวถูกกล่าวหาเป็นประชานิยม ระยะที่ 2 พ.ศ. 2559-2560 หลังยึดอำนาจ เริ่มแสวงหาประโยชน์ให้พวกพ้อง บริษัทเอกชนขนาดใหญ่ที่มีส่วนได้ส่วนเสียใกล้ชิดกับรัฐบาลได้ประโยชน์ถ้วนหน้า โครงการอีอีซี โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ การก่อสร้างรถไฟ 3 สนามบินที่เอื้อธุรกิจขนาดใหญ่ไม่กี่ราย ระยะที่ 3 พ.ศ. 2561-2562 ก่อนและหลังเลือกตั้ง เรียกว่าสารพัดแจกมั่วซั่วเพื่อการสืบทอดอำนาจ ด้วยความอยากมีอำนาจ และกลัวสูญเสียอำนาจ ออกมาตรการซื้อเสียงล่วงหน้า เช่น เพิ่มวงเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการชิมช็อปใช้เฟสต่างๆ และระยะที่ 4 พ.ศ. 2562-2563 ทุ่มให้สินเชื่อ แต่ไร้กำลังซื้อ ไม่เข้าใจว่าช่วงเวลาใดประเทศต้องการอะไร ตราบาปที่ทำกับเศรษฐกิจประเทศถูกจารึกว่า คนชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ทำลายความมั่นคงทางเศรษฐกิจประเทศ

4.ความล้มเหลวปราบปรามการทุจริต ข้อมูลที่ยืนยันคือ องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติเผยแพร่ดัชนีภาพลักษณ์การคอร์รัปชันทั่วโลกปี 2561 ว่า ประเทศไทยถูกลดอันดับจากอันดับ 96 เป็นอันดับ 99 ที่น่าเศร้าใจสุดคือ ความรุนแรงของการคอร์รัปชันกันในกองทัพ ทำธุรกิจหาประโยชน์กันในกองทัพ กลายเป็นต้นเหตุโศกนาฏกรรมกราดยิงที่ จ.นครราชสีมา ท่านอาจแกล้งหรี่ตามองไม่เห็นเพราะคนที่ทำเป็นคนแวดล้อม แต่ตนไม่อาจทนเห็นการโกงเงินภาษีประชาชนเป็นแสนล้านในวันที่ประชาชนลำบากยากเข็ญอีกต่อไปได้

และ 5.ความล้มเหลวในภาวะความเป็นผู้นำของนายกฯ สังคมไทยรับรู้มาระยะหนึ่งว่า เราเป็นประเทศที่มีนายกฯเป็นตัวตลก น่าอับอายต่อนานาประเทศ การแสดงวิสัยทัศน์และความเห็นต่างๆแสดงถึงความด้อยซึ่งปัญญา ไม่เหมาะสมหลายครั้ง เช่น การทุบโต๊ะ โยนของใส่ผู้สื่อข่าว มองคนเห็นต่างเป็นศัตรู ชอบก่นด่าเมื่อถูกซักถาม สะท้อนวุฒิทางปัญญาและอารมณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ จึงไม่อาจไว้วางใจให้คนซึ่งประกาศตัวว่ามีเซลล์สมอง 84,000 เซลล์บริหารประเทศได้

เพราะตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งผู้นำรัฐบาล ตนไม่เห็นศักยภาพของท่านทางด้านการบริหารหรือเป็นนักยุทธศาสตร์ ซึ่งเป็นคุณสมบัติพื้นฐานที่ผู้นำประเทศควรจะมี แต่ตนกลับเห็นท่านซึ่งอยู่ในฐานะนายกรัฐมนตรีทำได้เพียงแค่นักธุรการทั่วไป ทำหน้าที่เพียงแค่ใช้จ่ายงบประมาณของแผ่นดิน แต่ไม่รู้จักวิธีหารายได้เข้าประเทศ บริหารประเทศบนพื้นฐานของอารมณ์และความรู้สึก แต่มิได้บริหารบนพื้นฐานของความรู้ ดังนั้น ตนไม่อาจไว้วางใจท่านให้บริหารประเทศแล้วทำให้ลูกหลานของเราในอนาคตต้องรับมอบประเทศไทยที่เป็นซากปรักหักพังต่อจากคนรุ่นเรา ตนจึงกล่าวหาท่านด้วยความล้มเหลวทั้ง 5 ประการ และไม่อาจไว้วางใจให้ท่านบริหารประเทศต่อไปได้


You must be logged in to post a comment Login