วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2567

ศรัทธากับชีวิตคู่

On November 29, 2019

คอลัมน์ : สันติธรรม

ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่  29 พฤศจิกายน 6 ธันวาคม 2562)

ฝรั่งหลายคนจากยุโรปเดินทางมาเที่ยวประเทศไทย และบางคนหลงรักหญิงไทยจนถึงกับขอแต่งงานด้วย ถ้าเป็นหญิงไทยทั่วไปจะไม่มีปัญหาอะไร ถ้าพ่อแม่ของผู้หญิงยกให้แล้ว ทั้งสองฝ่ายก็จะได้แต่งงานตามประเพณีอันดีงาม

แต่เมื่อฝรั่งรักหญิงไทยที่นับถือศาสนาอิสลาม การแต่งงานไม่สะดวกง่ายดายเช่นนั้น เพราะพ่อแม่ของหญิงมุสลิมจะบอกฝรั่งว่าถ้ารักจริงหวังแต่งกับลูกสาวของตน สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือเป็นผู้ศรัทธาในพระเจ้าเสียก่อน

ฝรั่งหลายคนไม่เข้าใจเรื่องนี้มาปรึกษาผมว่าทำไมจึงต้องเป็นเช่นนั้น ผมได้ให้คำตอบไปว่า ในอิสลามรักไม่มีพรมแดน แต่รักต้องมีศาสนา เพราะศาสนาคือกติกาของชีวิต ถ้าที่ไหนอยู่กันโดยไม่มีกติกา ที่นั่นก็หาข้อยุติไม่ได้หากมีความขัดแย้งเกิดขึ้น

ผมยกตัวอย่างให้ฝรั่งคนหนึ่งซึ่งคลั่งไคล้ฟุตบอลได้เห็นชัดๆว่า ในการเล่นฟุตบอลทั้ง 2 ทีมที่ลงสนามต้องรู้จักและปฏิบัติตามกติกาฟุตบอล และเมื่อลงสนามนักฟุตบอลต้องเชื่อฟังกรรมการในสนามคนเดียว ถ้านักฟุตบอลทีมหนึ่งเอากติการักบี้ฟุตบอลมาเล่นในสนามด้วย หรือถ้าในสนามมีกรรมการเป่านกหวีด 2 คน ผู้ชมก็คงจะได้ดูมวยในสนามฟุตบอลเป็นของแถม

ครอบครัวก็ไม่ต่างไปจากสนามกีฬา มันเป็นเวทีชีวิตที่ชายและหญิงต้องมาอยู่ด้วยกันยาวนานกว่าการเล่นกีฬา ถ้าฝ่ายหนึ่งมีกติกาชีวิต แต่อีกฝ่ายหนึ่งไม่มีกติกา การอยู่ร่วมกันก็ยากที่จะราบรื่น นั่นคือเหตุผลว่าทำไมก่อนการแต่งงาน เงื่อนไขแรกที่ทั้ง 2 ฝ่ายต้องมีเหมือนกันคือการศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวกัน เพื่อที่ทั้ง 2 ฝ่ายจะได้ปฏิบัติตามกติกาชีวิตที่พระเจ้าได้กำหนดไว้

marriage 9

ดังนั้น ก่อนการแต่งงานหากชายหรือหญิงที่มิได้เป็นมุสลิมจะเข้าสู่ประตูวิวาห์แบบอิสลามก็ต้องทำสัญญากับพระเจ้าก่อนว่าจะไม่เคารพสักการะ กราบไหว้ บนบาน หรืออธิษฐานต่อสิ่งอื่นใดนอกจากพระเจ้าองค์เดียว และจะเชื่อฟังพระเจ้าตามคำสอนที่นบีมุฮัมมัดนำมา

สัญญาแห่งศรัทธาในพระเจ้าจึงเป็นสัญญาใหญ่หรือสัญญาประธาน หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่ยอมรับว่าจะศรัทธาในพระเจ้า การแต่งงานก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ และเมื่อทำพิธีแต่งงานตามหลักการอิสลามไปแล้ว การแต่งงานจะเป็นสัญญารองที่อยู่ภายใต้สัญญาใหญ่ หลังแต่งงานหากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดผิดสัญญากับพระเจ้าหันไปเคารพกราบไหว้สิ่งใดหรือปฏิบัติพิธีกรรมของศาสนาอื่น สัญญาที่ทำไว้กับพระเจ้าถือเป็นโมฆะและส่งผลให้สัญญาแต่งงานเป็นโมฆะด้วย นั่นหมายความว่าความเป็นสามีภรรยาตามหลักศาสนาอิสลามถือเป็นอันสิ้นสุดโดยไม่ต้องมีการหย่า การอยู่ร่วมกันถือเป็นการผิดประเวณี

ฝรั่งคนเดียวกันนี้ถามผมอีกว่าทำไมต้องบังคับให้ละหมาดวันละ 5 เวลา ผมจึงถามฝรั่งคนนี้กลับไปว่าถ้าคุณมีลูกและลูกของคุณไม่กินอาหารทั้งวันคุณจะทำอย่างไร ฝรั่งตอบว่าเขาต้องบังคับให้ลูกของเขากิน เพราะไม่เช่นนั้นลูกของเขาจะไม่มีแรงและขาดสารอาหารบำรุงร่างกาย

ผมจึงอธิบายให้ฝรั่งได้รู้ว่าชีวิตมนุษย์มี 2 ด้านคือ ด้านร่างกายและวิญญาณ ถ้าร่างกายต้องการอาหารวันละ 3 เวลาเพื่อความเจริญเติบโตและแข็งแรง วิญญาณก็ต้องการเช่นกัน แต่เนื่องจากวิญญาณมีความสำคัญกว่า พระเจ้าจึงกำหนดให้วิญญาณได้รับอาหารด้วยการละหมาดวันละ 5 เวลา

ผมบอกให้ฝรั่งคนนั้นได้รับรู้ต่อไปว่า การละหมาดเป็นสิ่งที่อิสลามใช้จำแนกแยกแยะว่าใครเป็นมุสลิมและใครมิใช่มุสลิม ใครที่กล่าวอ้างว่าตัวเองเป็นมุสลิมแต่มิได้ละหมาด คนนั้นมิใช่มุสลิมจริง และในวันแห่งการฟื้นคืนชีพหลังความตาย คำถามแรกที่พระเจ้าจะถามมนุษย์คือ เมื่ออยู่ในโลกเคยละหมาดหรือไม่ และละหมาดครบไหม ชะตากรรมของวิญญาณจึงขึ้นอยู่กับการละหมาด

นอกจากการละหมาดเป็นสิ่งยืนยันความศรัทธาในพระเจ้าแล้ว คัมภีร์กุรอานยังกล่าวว่า “การละหมาดจะยับยั้งให้พ้นจากความชั่วช้าและความลามก”

คนที่ละหมาดเป็นประจำและรู้วัตถุประสงค์ของการละหมาดจะเกิดความสำนึกว่าพระเจ้าเฝ้ามองเขาอยู่ตลอดเวลา เขาจะไม่กล้าทำบาป เพราะเขาต้องรักษาการละหมาดของเขาให้ครบ หากเขาดื่มสุราพระเจ้าจะไม่รับการละหมาดของเขา 40 วัน การละหมาดของเขาจะหายไป 200 เวลา และถ้าเขาทำผิดประเวณีพระเจ้าจะไม่รับการละหมาดของเขาเป็นเวลา 70 วัน หรือ 350 เวลา

การละหมาดจึงเป็นเหมือนมาตรการควบคุมทางด้านจิตวิญญาณมิให้บงการอวัยวะภายนอกของร่างกายให้ทำความชั่ว

 



You must be logged in to post a comment Login