วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2567

“จุรินทร์” การันตี “มาร์ค” นั่งประธาน กมธ. ศึกษาแก้ รธน. โยนวิปรัฐบาล-พรรคร่วมเคาะหาชื่อตัวจริง

On November 11, 2019

วันนี้ (11 พ.ย.) ที่ศาลากลางจังหวัดกาญจนบุรี นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงกรณีพรรคประชาธิปัตย์มีมติเสนอชื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาปัญหาและแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ถือเป็นมติพรรคประชาธิปัตย์ และมอบหมายให้วิปรัฐบาลไปหารือกับวิปพรรคร่วม ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติที่ทำตามปกติ ส่วนผลการหารือเป็นอย่างไรก็ต้องแล้วแต่นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ประธานวิปพรรคประชาธิปัตย์ และนายชินวรณ์จะนำมาแจ้งให้ที่ประชุม ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ทราบต่อไป

ผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีที่พรรคพลังประชารัฐเตรียมเสนอชื่อนายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 และยังจะเสนอชื่อคนอื่นที่มีอักษรย่อ ส. เสือด้วย ซึ่งเป็นคนที่หลายฝ่ายให้การยอมรับ นายจุรินทร์กล่าวว่า คงต้องไปหารือในที่ประชุมวิปรัฐบาล เพราะวิปรัฐบาลคือที่ประชุมร่วมของวิปพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรค และเป็นที่พิจารณาหาข้อยุติ

เมื่อถามถึงกรณีที่ถูกวิจารณ์ว่าเป็นการซื้อเวลา เพราะไม่เข้าสู่กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นายจุรินทร์กล่าวว่า นี่คือกระบวนการของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งคิดว่าทุกพรรคการเมืองมีความเห็นพ้องต้องกันที่จะให้นับหนึ่งด้วยการตั้งคณะกรรมาธิการ โดยมีตัวแทนจากคนภายนอกและตัวแทนจากพรรคการเมืองเข้าไปพิจารณาร่วมกันว่ามีประเด็นใดบ้างที่ควรดำเนินการแก้ไข แล้วจึงนำกลับมาสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรต่อไป คิดว่าเป็นเวทีที่น่าจะเป็นประโยชน์ เพราะการแก้รัฐธรรมนูญจะประสบความสำเร็จได้เมื่อ 3 ฝ่ายมีความเห็นพ้องต้องกัน ในเบื้องต้นคือสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งประกอบด้วยซีกรัฐบาล ฝ่ายค้าน และวุฒิสภา เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ชัดเจนว่าการจะแก้รัฐธรรมนูญได้นั้นจะต้องใช้เสียงข้างมากเกินกว่ากึ่งหนึ่งของที่ประชุมรัฐสภา ซึ่งในจำนวนเกินกว่าครึ่งหนึ่งต้องประกอบด้วยเสียงของฝ่ายค้านไม่ต่ำกว่าร้อยละ 20 และยังกำหนดอีกว่าในจำนวนนั้นต้องเป็นเสียงวุฒิสมาชิกไม่ต่ำกว่า 1 ใน 3 และในบางประเด็นอาจจะต้องมีองคาพยพที่สี่คือ ต้องนำไปทำประชามติเพื่อฟังเสียงจากประชาชนก่อน การแสวงหาความร่วมมือจากทุกฝ่ายเป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการถ้าประสงค์จะให้การแก้รัฐธรรมนูญเดินหน้าไปสู่ความสำเร็จได้อย่างแท้จริง ดังนั้น การนำเข้าหารือในสภาผู้แทนราษฎรจึงไม่ใช่เรื่องเสียหาย

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่นายกฯเตรียมประสานงานพูดคุยระหว่างหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล ได้รับการติดต่อหรือยัง นายจุรินทร์กล่าวว่า ยังไม่ทราบ แต่เรามีกลไกวิปรัฐบาลในการที่จะเป็นเวทีหารือเพื่อหาข้อยุติร่วมกัน

เมื่อถามว่าหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ 12 พฤศจิกายนนี้ จะมีการหารือนอกรอบระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ นายจุรินทร์กล่าวว่า ไม่ทราบ ขึ้นอยู่กับนายกฯ เพียงแต่ขอย้ำว่าเรามีกลไกของวิปรัฐบาลอยู่แล้ว ซึ่งถือเป็นตัวแทนจากทุกพรรคการเมืองอยู่ที่นั่นแล้ว

เมื่อถามว่าแสดงว่าผลการหารือของวิปรัฐบาลจะต้องได้ชื่อบุคคลที่เสนอโดยพรรคประชาธิปัตย์และพรรคพลังประชารัฐ นายจุรินทร์กล่าวว่า ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ประธานวิปของพรรคคงแจ้งให้ทราบว่ามีความประสงค์ที่จะสนับสนุนใคร ส่วนพรรคการเมืองอื่นก็มีสิทธิ์เช่นเดียวกันที่จะมีความเห็นว่าควรจะเสนอชื่อใคร สุดท้ายคงหารือและหาข้อยุติร่วมกัน ซึ่งก็ต้องรอตรงนั้น

เมื่อถามถึงแนวโน้มการนำไปสู่นโยบายแก้รัฐธรรมนูญจะทำได้หรือไม่เพราะเพียงแค่ตั้งกรรมาธิการศึกษายังวุ่นขนาดนี้ นายจุรินทร์กล่าวว่า ได้แสดงความเห็นไปแล้วว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแสวงหาความร่วมมือจากทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้านและวุฒิสมาชิก เพราะไม่เช่นนั้นโอกาสที่จะประสบความสำเร็จจะเป็นไปได้ยาก เพราะฉะนั้นถ้าหวังจะประสบความสำเร็จในการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ได้จริงก็ต้องร่วมมือกันทั้ง 3 ฝ่าย และต้องไม่ขัดแย้งกันโดยไม่จำเป็นจนทำให้มีความเห็นร่วมกันไม่ได้ จะทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญล่มโดยไม่จำเป็น

เมื่อถามย้ำว่ามีความมั่นใจว่าจะไม่ถูกยื้อเวลาใช่หรือไม่ นายจุรินทร์กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับสภาที่จะเป็นผู้พิจารณาในญัตติที่มีการเสนอไปแล้ว ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ได้เสนอญัตติเข้าไป


You must be logged in to post a comment Login