วันพฤหัสที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2567

“พิชัย”แนะนายกฯไม่ไหวอย่าฝืน ชี้ “ชิมช้อปใช้” แก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้

On October 10, 2019

วันที่ 10 ต.ค. 2562 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า เวิลด์อีโคโนมิกฟอรั่มจัดอันดับความสามารถแข่งขันของไทยตกลง 2 อันดับ มาอยู่ที่ 40 ในขณะที่เวียดนามดีขึ้น 10 อันดับ ไอเอ็มเอฟและหลายสำนักวิเคราะห์เห็นตรงกันว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้น่าจะโตได้ประมาณ 2.8% หรืออาจแย่กว่า ซึ่งถือว่าต่ำมาก ทั้งหมดนี้มาจากผลการบริหารเศรษฐกิจที่ล้มเหลวมาตลอด 5 ปี ช่วงเศรษฐกิจโลกดีไทยก็แย่ อีกทั้งปัจจุบันรัฐบาลยังหลงทางคิดว่าชิมช้อปใช้จะสามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ และจะเพิ่มจีดีพีได้เกิน 3% ซึ่งเป็นแนวคิดที่ผิด ชิมช้อปใช้ไม่ต่างอะไรกับเช็คช่วยชาติสมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์ ซึ่งไม่มีผลต่อเศรษฐกิจเลย ประชาชนอาจจะดีใจเพียงชั่วคราวที่ได้เงินฟรี แต่เป็นเงินจำนวนน้อยมาก การใช้จ่ายเพียงเท่านั้นไม่สามารถทำให้จีดีพีขยายได้ เหมือนกับตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ และรัฐบาลยังหลงทางคิดว่าดี จะออกชิมช้อปใช้เฟส 2 อีก ยิ่งเท่ากับหลงทางเข้าไปใหญ่ แทนที่จะใช้เงินเพิ่มความสามารถแข่งขันหรือเพิ่มศักยภาพของประเทศที่อันดับความสามารถแข่งขันลด เพราะอีก 2-3 เดือนให้หลังคนก็จะลืมชิมช้อปใช้และเริ่มลำบากกันต่อแล้ว เพราะชิมช้อปใช้ไม่ก่อให้เกิดการสร้างงาน ซึ่งปัญหาการว่างงานจะเป็นปัญหาใหญ่ต่อไป

ทั้งนี้ ไม่แน่ใจว่า พล.อ.ประยุทธ์เข้าใจหรือไม่เรื่องที่ไทยมีศักยภาพในการเติบโตด้านการค้าเป็นอันดับ 8 ไม่ได้หมายความว่าเป็นผลงานของรัฐบาล แต่หมายถึงว่าเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องบริหารประเทศให้ได้ตามศักยภาพ เหมือนบอกว่าประเทศไทยมีศักยภาพที่โตได้ถึงปีละ 5-6% แต่ที่ผ่านมารัฐบาลทำได้เพียงปีละ 2-3% เท่านั้น ซึ่งแปลว่ารัฐบาลสอบตก ทั้งนี้ ดูได้จากประเทศที่มีศักยภาพลำดับก่อนหน้าไทย เช่น อันดับ 1 คือโกตดิวัวร์ (ไอวอรี่โคสท์) หรืออันดับ 3 เคนยา ที่แทบจะยังไม่พัฒนาเลย แต่อาจมีศักยภาพ รวมถึงอินเดีย จีน ไอร์แลนด์ เวียดนาม อินโดนีเซีย ที่มีศักยภาพอยู่แล้ว เป็นต้น จึงอยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ได้เข้าใจให้ถูกต้อง อย่าได้นำมาโม้ในเรื่องที่ตัวเองอาจจะยังไม่เข้าใจ อีกทั้งอันดับความสามารถแข่งขันของไทยกลับลดลง

การจะพัฒนาได้ตามศักยภาพต้องอยู่ที่วิสัยทัศน์ของผู้นำและการบริหาร รวมถึงการใช้งบประมาณด้วย ซึ่งน่าเป็นห่วงมาก เพราะจากงบประมาณที่ผ่านมา 5 ปี และงบประมาณในปีหน้า รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณให้กับความมั่นคงเป็นจำนวนมาก ทั้งๆที่ไทยไม่ได้มีศัตรูเลย ซึ่งศัตรูที่แท้จริงคือความยากจนที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ไข แต่งบที่ใช้สำหรับพัฒนาเศรษฐกิจก็ยังถูกนำมาแจกอย่างอีลุ่ยฉุยแฉก ไม่ได้ใช้เพื่อพัฒนาเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้แก่ประเทศ งบกลางปีที่แล้ว 4.68 แสนล้านบาท ถูกใช้อย่างไม่มีการตรวจสอบ และงบกลางปีนี้จะมีอีกถึง 5.18 แสนล้านบาท ซึ่งไม่แน่ใจว่าจะนำไปใช้ด้านใดบ้าง เหมือนตีเช็คเปล่าให้กับคนที่ใช้เงินไม่เป็น เพราะถ้าใช้เงินเป็นประชาชนคงไม่เดือดร้อนขนาดนี้ ถึงขนาดที่มีข่าวการฆ่าตัวตายรายวันเพราะพิษเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังจะมีการแถที่จะให้รัฐมนตรีที่เป็น ส.ส. มาโหวตรับงบประมาณได้ ทั้งๆที่เป็นผลประโยชน์ทับซ้อนโดยตรง เพราะเท่ากับเป็นการอนุมัติเงินให้กับกระทรวงที่ตัวเองกำกับ ซึ่งไม่น่าจะทำได้

ความจริงคือถ้ารัฐบาลยังสร้างความมั่นใจให้เกิดขึ้นไม่ได้ รัฐบาลก็ไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ ประชาชนก็จะยิ่งลำบากและอดอยากมากขึ้น โดยล่าสุดบีบีซีได้แปลคำตัดสินคดีจากออสเตรเลียของนายธรรมนัส ซึ่งมีข้อมูลชัดเจนถึงความผิดและการจำคุก แต่ พล.อ.ประยุทธ์ก็ยังนิ่งเฉย นอกจากนี้ นายสุนัย ผาสุก ของฮิวแมนไรท์วอทช์ ได้เปิดเผยว่า มีการคุมตัวผู้สื่อข่าวต่างประเทศกว่า 5 ชม. ขู่เนรเทศและไม่รับรองความปลอดภัยหากไม่หยุดเสนอข่าวผู้เห็นต่างกับรัฐบาล และการดำเนินคดีกับ 7 พรรคฝ่ายค้าน อีกทั้งการดำเนินคดีเฟกนิวส์แต่กลับไม่จับ เสธ.ไก่อู ทั้งๆที่มีหลักฐานชัดเจน และมีพยานเป็นถึงรองอธิบดี ในเรื่องใช้สื่อรัฐกระจายเฟกนิวส์และเรื่องคอร์รัปชัน นอกจากนี้ รมว.คลังที่มีปัญหาการปล่อยกู้ธนาคารรัฐไม่มีแนวคิดอื่นนอกจากชิมช้อปใช้ ซึ่งเป็นวงเงินน้อยมาก แทบไม่มีผลต่อจีดีพีเลย แต่ดูเหมือนจะไม่รู้ตัว เพราะอาจจะคำนวณไม่เป็น เพราะเพิ่งบอกว่าจีดีพีจะโตได้ 3.5% แน่ แต่ต่อมากลับคำบอกไม่แน่ใจจะถึง 3% ไหม ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ยิ่งทำลายความมั่นใจ

ถ้ารัฐบาลยังสับสน ยังไม่มีหลักในการบริหารเศรษฐกิจ และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจก็ไม่รู้เรื่อง ปล่อยให้ทำกันไปแบบไร้ทิศทาง เศรษฐกิจไทยจะยิ่งเสื่อมลงเรื่อยๆ และประชาชนจะทนกันไม่ไหวแน่ จึงอยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ได้ตั้งหลักให้ดี ถ้ารู้ตัวแล้วว่าบริหารเศรษฐกิจไม่ไหวก็อย่าฝืนและควรเร่งลาออกไป เพื่อให้คนที่มีความรู้ความสามารถมาบริหารเศรษฐกิจแทน ประชาชนจะได้มีความหวังบ้าง


You must be logged in to post a comment Login