วันพุธที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2567

ปวดท้องแบบไหนควรระวัง

On June 21, 2019

คอลัมน์ : โลกสุขภาพ

ผู้เขียน : นพ.คมเดช ธนวชิระสิน ศัลยแพทย์ด้านการผ่าตัดผ่านกล้องและส่องกล้อง ร.พ.กรุงเทพ

(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่ 21-28 มิถุนายน 2562 )

อวัยวะภายในช่องท้อง ไม่ว่าจะเป็นกระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ทวารหนัก ตับ ถุงน้ำดี ท่อน้ำดี ตับอ่อน ล้วนเป็นอวัยวะภายในที่สำคัญ เริ่มตั้งแต่ที่เรารับประทานเข้าไป รวมทั้งย่อยและขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย เมื่อใดก็ตามที่อวัยวะเหล่านี้ทำงานผิดปกติย่อมส่งสัญญาณเตือนอันตรายออกมา ที่สังเกตได้ง่ายคืออาการปวดท้อง ซึ่งเราไม่ควรนิ่งนอนใจ เพราะแม้อาการปวดเพียงเล็กน้อยก็อาจมีภาวะผิดปกติอย่างร้ายแรงที่เราคาดไม่ถึงก็เป็นได้

โรคในช่องท้องแต่ละโรคมีอาการแสดงถึงความผิดปกติเช่นการปวดท้องที่คล้ายคลึงกัน จนหลายๆครั้งอาจได้รับการวินิจฉัยผิดพลาด หรือผู้ป่วยนิ่งนอนใจคิดว่าเป็นเพียงโรคกระเพาะจนได้รับการวินิจฉัยที่ล่าช้าและส่งผลอันตรายได้ จริงๆแล้วอาการปวดท้องในแต่ละโรคนั้นไม่เหมือนกัน ต้องอาศัยการสังเกตและความชำนาญของแพทย์เฉพาะทางในการวินิจฉัย รวมทั้งการตรวจสุขภาพด้วยการเจาะเลือดเพียงอย่างเดียวก็อาจไม่พบความผิดปกติ การเข้ารับการตรวจภายในช่องท้องด้วยการอัลตราซาวนด์จึงนับเป็นทางเลือกที่ดีเพื่อการวินิจฉัยให้การรักษาเป็นไปอย่างทันท่วงที

โรคในช่องท้องที่พบได้บ่อยได้แก่ 1.นิ่วในถุงน้ำดี โดยปกติแล้วถุงน้ำดีจะทำหน้าที่ในการกักเก็บน้ำดี และเพิ่มความเข้มข้นในการย่อยสลายอาหารประเภทไขมันให้ดียิ่งขึ้น การเกิดนิ่วในถุงน้ำดีอาจเกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ อาทิ การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงๆ หรือคนที่อ้วนมากๆ และโรคเลือดต่างๆ ทำให้องค์ประกอบน้ำดีเสียไปจนเกิดการตกตะกอนกลายเป็นนิ่วขึ้น อาการของนิ่วในถุงน้ำดีมีได้ตั้งแต่สัญญาณเตือนเบื้องต้นคือ แค่ท้องอืด แน่นท้อง อาหารไม่ย่อย แต่จะไม่ปวดแสบเหมือนโรคกระเพาะ ผ่านไปสักพักคนไข้จะรู้สึกดีขึ้นเอง จนบางครั้งอาจเข้าใจผิดว่ากินแค่ยาลดกรดขับลมก็หาย แต่หากในกรณีที่ปล่อยทิ้งไว้ถึงขั้นถุงน้ำดีอักเสบอาการอาจรุนแรงขึ้นได้ เช่น คนไข้จะมีอาการปวดจุกๆ ขยับตัวไม่ได้ หายใจเข้าก็เจ็บ เพราะเวลาหายใจเข้ากระบังลมจะดันลงต่ำจนไปดันถุงน้ำดีที่อักเสบอยู่ ปวดชายโครงขวาหรือร้าวไปหลัง อาจเกิดเป็นหนองและติดเชื้อในกระแสเลือดได้

ถ้านิ่วหลุดและหล่นลงมาอุดตันบริเวณท่อน้ำดี คนไข้จะมีอาการไข้ หนาวสั่น ตัวเหลือง ตาเหลือง เกิดการอักเสบติดเชื้อของทางเดินท่อน้ำดี ต้องได้รับการผ่าตัดเร่งด่วนและซับซ้อนมากยิ่งขึ้น และหากมีนิ่วค้างอยู่เป็นเวลานานอาจกระตุ้นให้เกิดโรคมะเร็งท่อน้ำดีหรือทำให้ตับอ่อนอักเสบ นอกจากนี้ถ้าก้อนนิ่วมีขนาดใหญ่มากยังเป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดมะเร็งถุงน้ำดีได้ ดังนั้น หากตรวจพบนิ่วในถุงน้ำดีควรรีบมาพบแพทย์เพื่อรับคำปรึกษา เพราะนิ่วนั้นโอกาสน้อยมากที่จะหายไปได้เอง ทั้งนี้ ควรหมั่นเข้ารับการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ หรือหากมีอาการตามเบื้องต้นควรรีบมาพบแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงของโรคด้วยการอัลตราซาวนด์ช่องท้องส่วนบนเพื่อทำการรักษาต่อไป

2.ไส้เลื่อนหน้าท้อง ขาหนีบ คือการที่ผนังของกล้ามเนื้ออ่อนแอลง หรือความดันในช่องท้องมากขึ้น ทำให้เกิดการหย่อนหรือฉีกขาด ส่งผลให้อวัยวะในช่องท้องเคลื่อนออกมา ทำให้เกิดอาการปวดจุกๆท้อง ร่วมกับเราจะสังเกตเห็นการนูนเป็นก้อนในตำแหน่งนั้น ซึ่งส่วนใหญ่พบได้บริเวณสะดือ ขาหนีบ ผนังหน้าท้องที่เคยมีการผ่าตัดมาก่อน ปัจจัยของการเกิดไส้เลื่อนเกิดได้จาก 1) ความอ้วน น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นผนังหน้าท้องจะขยายจนทำให้ผิวบริเวณหน้าท้องตึงและบาง 2) อายุที่เพิ่มขึ้นผนังหน้าท้องจะเริ่มบางและอ่อนแอลง 3) ความดันในช่องท้องมากกว่าปกติ เช่น ยกของหนัก การเบ่งปัสสาวะหรืออุจจาระแรงๆ ต่อมลูกหมากโต ท้องผูก หรือโรคบางชนิดที่ทำให้มีน้ำในช่องท้องเพิ่มขึ้น

อาการของไส้เลื่อนคือ คนไข้จะปวดท้องแบบจุกๆ รู้สึกแน่นๆบริเวณใกล้ๆก้อน หากสังเกตว่ามีส่วนใดบริเวณหน้าท้องหรือขาหนีบนูนขึ้นมาเป็นก้อนผิดปกติควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัย อาการเหล่านี้หากเป็นจากไส้เลื่อนไม่สามารถหายได้เอง หากปล่อยทิ้งไว้มีโอกาสความรุนแรงหรือความยุ่งยากในการผ่าตัดมากขึ้น เช่น ลำไส้เน่าหรืออุดตัน เพราะลำไส้ไม่สามารถกลับเข้าไปได้ โดยคนไข้จะมีอาการปวดที่ก้อนมาก อาเจียน ปวดท้องแบบบีบๆ ถ่ายไม่ออก

3.ไส้ติ่ง อวัยวะที่มีลักษณะเป็นท่อตัน เป็นส่วนหนึ่งที่ยื่นออกจากลำไส้ใหญ่ ไส้ติ่งอักเสบเกิดจากการอุดตันจากเศษอาหาร ต่อมน้ำเหลืองอักเสบจากการติดเชื้อของลำไส้ อาการของไส้ติ่งอักเสบในช่วงแรกจะคล้ายคลึงกับโรคกระเพาะ ต้องอาศัยการซักประวัติตรวจอย่างละเอียด โดยคนไข้จะมีอาการเบื้องต้นคือ คลื่นไส้ เบื่ออาหาร ร่วมกับอาการปวดท้องบริเวณลิ้นปี่หรือกลางท้อง ต่อมาผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการปวดบริเวณท้องน้อยด้านขวามากขึ้น หรือร้าวไปด้านหลังก็ได้ ขึ้นกับตำแหน่งการวางตัวของไส้ติ่ง หากอาการปวดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คนไข้มักขยับตัวไม่ค่อยได้ จะรู้สึกเจ็บมาก เริ่มมีไข้ ซึ่งอาการปวดไส้ติ่งไม่สามารถหายเองได้ ถ้าไม่ได้รับการรักษาอาจจะทำให้ไส้ติ่งแตก เป็นอันตรายได้ ทั้งนี้ ควรสังเกตตนเอง หากมีอาการปวดท้องด้านขวาสักพักแล้วไม่หายและยังมีอาการเจ็บเพิ่มขึ้นควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว

4.แผลในกระเพาะอาหาร/ลำไส้อักเสบ โรคแผลในกระเพาะอาหารสามารถเกิดได้กับคนทุกเพศทุกวัยรวมไปถึงเด็กเล็ก โดยกระเพาะอาหารอักเสบมักจะพบได้กับผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี ส่วนลำไส้เล็กอักเสบพบในผู้ป่วยอายุน้อยกว่า ปัจจัยเสี่ยงที่พบมากคือ กลุ่มคนที่รับประทานยาละลายลิ่มเลือด ยาแอสไพริน ยาแก้อักเสบบ่อยๆ รับประทานข้าวไม่ตรงเวลา รับประทานรสเผ็ดจัด ดื่มกาแฟเป็นประจำ รวมถึงความเครียด หรือการติดเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะอาหาร

คนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบมักมีอาการปวดท้องทั้งก่อนและหลังรับประทานอาหาร แต่จะค่อยๆหายไปเมื่อรับประทานอาหารเข้าไปสักพัก ไม่สบายท้องส่วนบน เช่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ รู้สึกเหมือนมีลมในท้องมาก คลื่นไส้ อาเจียน ขณะที่โรคลำไส้อักเสบมักพบในกลุ่มวัยทำงานได้มากกว่า สังเกตอาการเบื้องต้นคือ อาการแสบท้อง คนไข้จะมีอาการแสบท้องก่อนรับประทานอาหาร แต่เมื่อได้รับประทานเข้าไปแล้วจะมีอาการดีขึ้น การวินิจฉัยโรคทำได้โดยการส่องกล้องเพื่อตรวจหาความผิดปกติที่เกิดภายในลำไส้ การปฏิบัติตัวเป็นสิ่งสำคัญคือ รับประทานอาหารให้ตรงเวลา รับประทานอาหารย่อยง่าย งดอาหารรสจัด เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ รวมถึงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ งดสูบบุหรี่ และลดความเครียด

5.กรดไหลย้อน อาการสังเกตเบื้องต้นของโรคกรดไหลย้อน เช่น เรอเปรี้ยว ปวดแสบปวดร้อนในช่องท้องส่วนบนไปถึงบริเวณกลางอก บางคนอาจมีอาการไอ สะอึก เจ็บคอบ่อยๆก็มีสาเหตุมาจากโรคกรดไหลย้อนได้เช่นกัน ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงคือ อ้วน สูบบุหรี่จัด ดื่มชา กาแฟ รับประทานช็อกโกแลตเป็นประจำ หรือคนที่ชอบเคี้ยวหมากฝรั่งบ่อยๆ เพราะเป็นการเรียกน้ำย่อยและกระตุ้นกรดในกระเพาะอาหาร หรือคนที่รับประทานอาหารแล้วนอนทันที

การดูแลตัวเองหากเป็นกรดไหลย้อน อันดับแรกคือ งดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ลดการรับประทานช็อกโกแลต สเต็ก เปปเปอร์มินต์ หมากฝรั่ง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และควรนอนหนุนหัวสูง (หมอนหนุนถึงหัวไหล่) หรือตะแคงซ้าย อย่านอนทันทีหลังรับประทานอาหาร รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งก็จะช่วยให้อาการกรดไหลย้อนดีขึ้นได้ หากการรักษาดังกล่าวไม่ดีขึ้น อาจมีไส้เลื่อนหูรูดกระบังลมร่วมด้วย ควรได้รับการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมด้วยการส่องกล้องหรือเครื่องตรวจวัดกรดที่หลอดอาหารและกระเพาะอาหารใน 24 ชั่วโมง ซึ่งอาจให้ยาเพิ่มเติมหรือจำเป็นพิจารณาผ่าตัดรักษาต่อไป

6.ตับอ่อนอักเสบ คือภาวะที่เกิดการอักเสบของตับอ่อน ทำให้มีอาการปวดท้องเฉียบพลันรุนแรงได้ หน้าที่ของตับอ่อนคือผลิตน้ำย่อยและฮอร์โมนบางชนิด สาเหตุของตับอ่อนอักเสบส่วนใหญ่เกิดจากนิ่วในถุงน้ำดี หรือคนที่ดื่มแอลกอฮอล์ ตับอ่อนอักเสบจะมีอาการปวดท้อง และคลื่นไส้อาเจียนมาก โดยเฉพาะคนที่ดื่มเหล้าหนักๆจะมีอาการปวดท้องจนต้องงอตัวเพื่อให้ความปวดทุเลาลง ซึ่งมักพบบ่อยในเพศชาย สามารถตรวจวินิจฉัยด้วยการอัลตราซาวนด์

7.ตับอักเสบ เป็นภาวะอักเสบที่เกิดขึ้นบริเวณตับ สาเหตุเกิดได้ทั้งจากการติดเชื้อไวรัส หรือสาเหตุอื่นๆ เช่น การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือผลข้างเคียงจากการใช้ยา และติดเชื้อไวรัสตับ ซึ่งหากตับอักเสบเรื้อรังอาจทำให้การทำงานของตับผิดปกติ เกิดตับแข็ง หรือเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งตับตามมาได้ อาการที่พบโดยส่วนใหญ่คือ ผู้ป่วยจะมีไข้ และมีอาการปวดท้องด้านบนขวา ตัวเหลืองขึ้น การวินิจฉัยโดยการเจาะเลือดช่วยให้พบค่าการทำงานของตับผิดปกติได้

8.กระเปาะลำไส้ใหญ่โป่งพองอักเสบ ผู้ป่วยมักมีประวัติท้องผูกเรื้อรัง อาการที่พบมักปวดท้องบริเวณด้านล่างขวาหรือ ด้านล่างซ้าย นอกจากนี้เมื่อปล่อยทิ้งไว้อาจมีการแตกหรือการอุดตัน หรือถ่ายเป็นเลือดได้ การรักษาเริ่มตั้งแต่การให้ยาไปจนถึงการผ่าตัด

9.โรคทางนรีเวช อาการปวดท้องของโรคทางนรีเวช อาการสังเกตคือ การปวดบริเวณท้องน้อยด้านล่าง ตรงกลาง หรืออาจจะซ้ายและขวาก็ได้ อาจเป็นการส่งสัญญาณเตือนของโรคที่เกี่ยวกับมดลูกหรือปีกมดลูกในผู้หญิง หรือการสังเกตความผิดปกติของประจำเดือน เช่น ประจำเดือนมามากหรือน้อยผิดปกติ มากะปริดกะปรอย คุณผู้หญิงควรเข้ารับการตรวจภายในหรืออัลตราซาวนด์เพื่อวินิจฉัยความผิดปกติที่เกิดขึ้น

อาการปวดในช่องท้องทั้ง 9 โรคที่กล่าวมานี้ ล้วนแต่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่กระทบการทำงานทั้งสิ้น เมื่อมีสัญญาณเตือนอย่าปล่อยทิ้งไว้ ควรรีบมาพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัยให้การรักษาเป็นไปอย่างทันท่วงที ช่วยลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นตามมาได้


You must be logged in to post a comment Login