วันพฤหัสที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2567

คนไทย(จำนวนหนึ่ง)ใจไม่สู้

On January 2, 2019

คอลัมน์ โลกอสังหาฯ

คนไทย(จำนวนหนึ่ง)ใจไม่สู้

โดย ดร.โสภณ พรโชคชัย

(โลกวันนี้วันสุข 4-11 มกราคม  2562)

ผมขอเขียนบทความนี้นินทา “แม่บ้าน” สักหน่อย แม้ดูเป็นเรื่องเล็กๆ แต่เป็นเรื่องระบบคิดที่ส่งผลต่อประเทศชาติของไทยเป็นอย่างมากในอนาคตท่ามกลางการแข่งขันกับเพื่อนบ้าน

เมื่อเช้าวานนี้ภริยาเอาข้อความที่แม่บ้านคนหนึ่งของผมเขียน LINE ส่งมาโดยมีใจความว่า ขณะนี้อยู่ที่บ้านเกิดซึ่งเดินทางมาในช่วงปีใหม่ แต่ที่บ้านมีเรื่องยุ่งๆ เลยยังไม่รู้ว่าจะกลับไปทำงานได้เมื่อไร!?! อันนี้คงเป็นศิลปะการลาออกขั้นเทพที่เขียนได้ดีแบบบัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น น่านับถือจริงๆ แต่ในอีกแง่หนึ่งก็แสดงถึงความไม่รับผิดชอบอยู่ในที เพราะนึกว่าจะไปก็ไปซะงั้น

แม่บ้าน3

ก็เป็นไปได้ที่เธออาจมีความจำเป็นจริงๆ เช่น พ่อแม่ป่วย ครอบครัวมีปัญหาบางประการ ปัญหากับเพื่อนบ้าน หรือมีข้อพิพาทเรื่องทรัพย์สิน ฯลฯ ที่ล้วนอาจเป็นไปได้ทั้งสิ้น ซึ่งความจำเป็นนั้นอาจมีมากกว่ารายได้เดือนละ 15,000 บาท แม่บ้านผมจึงอาจยอมเสียรายได้ไป และผมก็คงรอเธอไม่ไหว ต้องหาคนใหม่มาทำหน้าที่แทน เพราะเกรงใจแม่บ้านที่ยังทำงานอยู่จะทำงานหนักเกินความจำเป็น เดี๋ยวพาลลาออกไปจะยิ่งยุ่งกันใหญ่

แม่บ้าน2

แต่การจะสร้างรายได้ในชนบทในค่าจ้างตามนี้ก็อาจมีจำกัด แม้ค่าใช้จ่ายในต่างจังหวัดจะถูกกว่า บ้านก็ไม่ต้องเช่า แต่สามีที่ขับแท็กซี่อยู่ในกรุงเทพมหานครก็ยังต้องเช่าบ้านอยู่ดี การตัดสินใจทิ้งงานไปจึงเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะคุ้มนัก ยกเว้นแต่ได้งานอื่น เพียงแต่เขียน LINE มาให้ดูเป็นอื่นจะได้ไม่เสียน้ำใจกัน ซึ่งก็อาจเป็นไปได้ แต่เมื่อเร็วๆนี้เธอก็เพิ่งลาออกจากที่ทำงานเก่ามาทำงานตามรายได้อัตราใหม่ที่นี่

อย่างไรก็ตาม สังคมไทยในชนบทก็ยังพอจะมีอาหารการกินตามธรรมชาติอยู่บ้าง ทำให้คนไม่อดตาย ต่างจากในแอฟริกาและอีกหลายที่ที่ชนบทมีแต่ความแห้งแล้ง และต่างจากในอเมริกาที่คนชนบทไม่ได้มีที่นาหรือบ้านเป็นของตนเองเช่นคนไทยในต่างจังหวัด เศรษฐกิจในลักษณะนี้เรียกว่า Subsistence Economy หรือระบบเศรษฐกิจแบบยังชีพที่ยังจับกบจับกะปอม มีผักหญ้ากินได้ตามมีตามเกิด หมู่บ้านในชนบทของไทยมีลักษณะเป็น “กึ่งรีสอร์ต” สำหรับคนจนๆที่มาทำมาหากินในเมืองแล้วกลับไป “ชาร์จแบตฯ” เป็นครั้งคราวบ้าง

ประเด็นที่พึงพิจารณาก็คือ แม่บ้านของผมไปซะแล้ว ภริยาของผมก็คงต้องหาคนใหม่ และแน่นอนว่ามีเอเย่นต์จัดหาแม่บ้านชาวพม่ามาทำงาน ซึ่งก็ยังแวะเวียนมาถามไถ่เป็นระยะๆ อันที่จริงขณะนี้เราก็มีแม่บ้านพม่าอยู่คนหนึ่งแล้ว เธอทำงานดี รายได้มากกว่าแม่บ้านคนไทยของผมเสียอีก แม้เธอจะเด็กกว่าแต่อยู่มานาน 2 ปีแล้ว รายได้จึงได้มากกว่าแม่บ้านคนไทยแท้ๆที่เพิ่งเข้ามา

แม่บ้านพม่าของผมเป็นเด็กสาวแต่งงานแล้ว สามีทำงานโรงงานอยู่อีกที่หนึ่งในย่านชานเมือง ช่วงวันหยุดจึงมาหากันที่บ้านของผม ทั้งสองคนหาเงินเพื่อส่งกลับไปให้ครอบครัวของทั้งสองเดือนละนับหมื่นบาทต่อคน เพราะอยู่กับผมก็ได้ที่พักฟรี อาหารหลายครั้งก็ฟรี เธอทำงานเต็มที่เพราะต้องส่งเงินไปหาแม่เป็นระยะๆ และบางครั้งครอบครัวของเธอก็นึกว่าเธอเป็น “ตู้เอทีเอ็ม” เคลื่อนที่ ขอเงินมาเป็นระยะๆอีกต่างหาก

ระหว่างแม่บ้านพม่าที่สู้หลังชนฝาเพื่อครอบครัวที่รอคอยอยู่เบื้องหลังที่พม่า กับแม่บ้านคนไทยที่มีเศรษฐกิจยังชีพอยู่ในชนบทอันไพศาล ใจจึงสู้แตกต่างกัน อันที่จริงในชนบทมีหญิงวัยกลางคนหรือแม้แต่หญิงอายุเกิน 60 ปี ที่ยังแข็งแรงอยู่พอทำงานได้มากมาย แต่คนเหล่านี้ไม่ได้มาทำงาน ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะนายจ้างไม่เปิดโอกาสให้บุคคลเหล่านี้มาทำงานเท่าที่ควร มักจำกัดที่อายุ แต่อีกส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะชายหญิงวัยกลางคนเหล่านี้เต็มใจที่จะอยู่ไปเรื่อยๆในชนบทมากกว่าหรือไม่ก็อยู่บ้านเลี้ยงหลานไปตามมีตามเกิดกันไป

เราควรฝึกคนไทยเราให้เป็นลูกจ้างที่ดี ไม่ใช่หวังฝึกให้เป็นนายจ้างหรือจ้างตนเองแบบที่เรามักฝึกคนแบบ “ลุงขาวไขอาชีพ” คือให้ไปทำกิจการ SMEs ของตนเอง แล้วก็เจ๊งไม่เป็นท่า รุ่นแล้วรุ่นเล่า เมื่อ 20 ปีก่อนผมมีแม่บ้านอยู่คนหนึ่งใช้เวลาว่างไปเรียนตัดเย็บเสื้อผ้า พอได้วิชาก็ลาออกไปเปิดร้านตัดเย็บเสื้อผ้าในต่างจังหวัด ปรากฏว่าเจ๊งไม่เป็นท่า เพราะมาระยะหลังนี้เขาเลิกตัดเสื้อผ้ากันแล้ว ซื้อสำเร็จรูปดีกว่า อีกคนก็ลาออกไปรวยทางลัดได้สามีฝรั่ง ทำร้านอาหารก็เจ๊งไป แม่บ้านคนหนึ่งไม่ค่อยมีใจทำงาน แต่เป็นคนทำกับข้าวเก่ง ภริยาของผมเลยช่วยให้ไปเปิดร้านอาหารในศูนย์อาหาร แต่โดยที่ขาดความเป็น “เถ้าแก่” ก็เจ๊งไปอีกเหมือนกัน

ผมไปญี่ปุ่น เกาหลี สิงคโปร์ ไต้หวัน เห็นคนจีนสูงวัยยังทำงานกวาดถนน เช็ดถูตามสนามบิน ฯลฯ อยู่มากมาย ทั้งที่ประเทศเหล่านี้มีค่าจ้างแรงงานที่สูงแต่ประเทศของเขาก็ยินดีที่จะใช้แรงงานในประเทศแทนที่จะใช้แรงงานต่างด้าว ยกเว้นงานใช้แรงงานหนักที่ต้องอาศัยคนต่างด้าวบ้าง แต่ในประเทศไทยของเราใช้ประโยชน์จากทรัพยากรมนุษย์อาวุโสเหล่านี้ได้ไม่มากเท่าที่ควร ทำให้ประชาชนจากประเทศเพื่อนบ้านหลั่งไหลเข้ามาอยู่อาศัยในแผ่นดินไทยจนกระทั่งตู้เอทีเอ็มยังต้องมีภาษาพม่า

สำหรับคนไทยเอง ถ้าเราเป็นคนจนแต่ยังยึดติดกับการอยู่อาศัยแบบเศรษฐกิจยังชีพอยู่กินไปวันๆก็คงจะขาดอนาคต คงเหลือแต่อนางอหงิกไป ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วง ในระดับบนของประเทศนายทุนขุนศึกใหญ่ๆก็ศิโรราบและสมคบกับนายทุนข้ามชาติปล้นแผ่นดินไทย ส่วนในระดับล่างประชาชนคนไทยธรรมดาหรือคนไทยที่ยากจนกลับสู้แรงงานต่างชาติไม่ได้เสียอีก

อนาคตของชาติไทยจะเป็นอย่างไร คิดแล้วหนาวครับ!


You must be logged in to post a comment Login