วันพฤหัสที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2567

ทุกฝ่ายก้าวข้ามสี‘อยากเลือกตั้ง’ สัมภาษณ์- ทิชา ณ นคร โดย ประชาธิปไตย เจริญสุข

On February 26, 2018

คอลัมน์ : ฟังจากปาก

สัมภาษณ์โดย  : ประชาธิปไตย เจริญสุข

“ทิชา ณ นคร” อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ชี้ไม่มีความรุนแรงหรือความขัดแย้งไม่ได้แปลว่ามีความปรองดอง ความปรองดองขณะนี้มาจากทุกคนก้าวข้ามเส้นสีเพื่อให้ คสช. จัดเลือกตั้งตามสัญญา การปฏิรูปก็ไม่เป็นรูปเป็นร่าง ข้าราชการทำให้เสร็จเพราะความกลัว ประชาชนไม่มีส่วนร่วม

++++++++++

เข้าสู่ปีที่ 4 ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยังไม่ตอบโจทย์ของประเทศนัก โดยเฉพาะโจทย์ที่ประชาชนรอคอย คสช. เข้ามาด้วยเงื่อนไขพิเศษที่คนจำนวนหนึ่งยอมรับ แต่การรัฐประหารไม่ใช่ต้องเกิดขึ้นอย่างถาวรตลอดไป คสช. ให้คำมั่นสัญญาว่าจะมีการเลือกตั้ง แต่วันนี้ยังไม่สามารถตอบโจทย์นี้ได้ สถานการณ์แบบนี้กำลังจะนำไปสู่จุดที่ชัดเจนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกรณีนาฬิกาหรูของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ (รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม) หรือเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างในกองทัพที่ถูกพูดถึง ถ้า คสช. รีบจัดการอย่างที่รับปากก็อาจช่วยคลี่คลายสถานการณ์ได้บ้าง

การปฏิรูปและการสร้างปรองดอง

ในฐานะที่เคยเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ทั้ง 2 ประเด็นอาจแยกกันหรืออยู่ในพื้นที่เดียวกันก็ได้ เพราะตอนที่ คสช. เข้ามา บ้านเมืองมีปัญหาความขัดแย้ง แบ่งขั้วแบ่งสีกันสูง คสช. อ้างเหตุผลว่าต้องการสร้างความปรองดอง แต่ 3-4 ปีที่ผ่านมากลับทำไม่สำเร็จ ที่ไม่แตกไม่ร้าวไม่หักนั้นไม่ใช่เพราะปรองดอง แต่มันไม่มีพื้นที่ให้ขับเคลื่อน

เมื่อไม่นานมานี้คุณสมบัติ บุญงามอนงค์ บก.ลายจุด คุณวีระ สมความคิด (เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน) รังสิมันต์ โรม (แกนนำกลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย) และอีกหลายคนลุกขี้นมาสลายสีเพื่อให้มีการเลือกตั้งตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ประกาศในเดือนพฤศจิกายนนี้ ความปรองดองอย่างที่ คสช. ตั้งใจจริงๆแทบจะมองไม่เห็น แม้ พล.อ.ประยุทธ์หรือทหารหลายคนจะอ้างว่าวันนี้ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงหรือความขัดแย้ง แต่ไม่ได้แปลว่ามีความปรองดอง ปรองดองจริงๆคือตอนนี้แหละ ตอนที่ทุกคนก้าวข้ามเส้นสีเพื่อที่จะให้ คสช. จัดการเลือกตั้ง ทุกฝ่ายมีเป้าหมายร่วมกัน

เราอย่ามองว่ากลุ่มและสีต่างๆเป็นความขัดแย้งได้มั้ย หลายกลุ่มก้าวข้ามเส้นสีเพื่อจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าต้องการเลือกตั้ง ถ้าจะมีความคิดเห็นทางการเมืองหรือนโยบายต่อรัฐบาลแตกต่างกันก็ไม่ได้แปลว่าเป็นความขัดแย้ง เราต้องมองให้เป็นเรื่องปรกติ สร้างวัฒนธรรมความเห็นที่ต่างกัน โต้แย้งกันอย่างมีเหตุมีผล ดีกว่าพูดว่าต้องไม่มีความขัดแย้งกันเลย ซึ่งมันไม่มีในโลกที่เราอยู่ร่วมกันจริงๆ มันมีพัฒนาการของมันเพราะว่าเราเห็นไม่เหมือนกัน แล้วเราก็แก้ปัญหาด้วยเหตุด้วยผล

ความปรองดอง สันติภาพ มีความหมายต่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ไม่ใช่เห็นต่างกันไม่ได้เลย การแก้ปัญหาโดยไม่ใช้ความรุนแรงต่างหากที่สำคัญกว่า ซึ่งพวกเราเรียนรู้ไปด้วยกันว่าความเห็นแตกต่างของพวกเรา ไม่ว่าจะเสื้อสีใดก็ตามหรือพรรคการเมืองใดก็ตามในอนาคตก็ไม่เห็นเป็นอะไร เพียงแต่เราไม่หยิบอาวุธมาต่อสู้กัน รัฐบาลข้างหน้าก็ไม่ใช้อำนาจของตัวเองมาจัดการ ทุกอย่างจะเป็นบทเรียนให้เราเดินต่อไปได้

ส่วนเรื่องการปฏิรูปประเทศ เวลาเราพูดถึงมันยังกลวงๆอยู่ การปฏิรูปที่แท้จริงต้องมาจากทุกคนมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นไม่ว่าจะรับหรือปฏิเสธโดยไม่มีความหวาดกลัวใดๆ พอพูดถึงเรื่องการปฏิรูปบนความสัมพันธ์เชิงอำนาจมันเหมือนภาพลวงตา ซึ่งไม่คิดว่ามันเป็นการปฏิรูป ข้าราชการที่ต้องรับนโยบายมาจาก คสช. เขาก็ทำงานอย่างหวาดกลัว ทั้งหมดนี้ไม่ใช่พื้นฐานของการปฏิรูป อาจทำให้เสร็จตามที่ผู้มีอำนาจสั่งมา แต่ทั้งหมดไม่ใช่เป็นของจริง

ข้อเสียของคนมีอำนาจคือมักคิดว่าอำนาจของตัวเองจัดการได้ทุกอย่าง แต่ในความเป็นจริงไม่มีทางเลย อำนาจอาจทำให้เกิดได้ แต่มันไม่มีเสาเข็ม ไม่มีรากของการแก้ปัญหาที่แท้จริง แค่สร้างไว้ข้างบนให้ดูสวยๆลวงตาเท่านั้นเอง เมื่อเจอสถานการณ์บางอย่างก็ล้มได้ง่าย เพราะไม่มีต้นทุนการมีส่วนร่วม ไม่มีต้นทุนการถกเถียงแลกเปลี่ยนจนกระทั่งตกผลึกที่ดีที่สวยพอ จนถึงขณะนี้เราจึงยังไม่เห็นการปฏิรูปประเทศเกิดขึ้นอย่างแท้จริง เพราะในเชิงหลักการเรามาผิดวิธี แต่เราจะไปกล่าวร้าย คสช. ทั้งหมดก็ไม่ได้ เพราะ คสช. เข้ามาก็ทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งที่เลือดเต็มแผ่นดินหยุดไปพักหนึ่ง แต่ก็ไม่ควรจะใช้เวลานานขนาดนี้ การใช้อำนาจใช้ได้ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น หลังจากนั้นถ้าคุณคืนอำนาจให้ประชาชนและปล่อยให้กระบวนการปฏิรูปเกิดขึ้นบนการมีส่วนร่วมของทุกคนก็จะเป็นจริงกว่า ใช่กว่า ตอนนี้เหมือนรัฐราชการที่ถูกสั่งมาจากข้างบน ปฏิบัติในเชิงนโยบายของรัฐ การปฏิรูปทั้งหมดจึงไม่จริง แค่ทำให้เสร็จเท่านั้นเอง

ถ้าการเลือกตั้งถูกเลื่อนไปอีก

ไม่รู้นะ หลายเรื่องอาจจะเกิดขึ้นโดยที่ไม่มีใครคาดฝันก็ได้ ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีใครคาดฝันว่าจะเกิดสิ่งโน้นสิ่งนี้ขึ้นมา สังคมมันเป็นพลวัต ไม่มีใครคาดการณ์ได้ น่าเป็นห่วง คสช. ที่บรรดาที่ปรึกษาของท่านทั้งหลายอาจประเมินสถานการณ์ไม่เพียงพอหรือไม่เก่งพอ หรือพอมีอำนาจก็มักจะหลงว่าตัวเองควบคุมได้ ตรงนี้จึงอาจทำให้การประเมินต่ำเกินไป คนที่ออกมาเรียกร้องอยากเลือกตั้งก็เป็นแค่ประชาชนคนธรรมดา ไม่มีอาวุธ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น มีแต่ศรัทธาที่มุ่งมั่นในพลังของเขา ซึ่งคนถืออาวุธไม่เคยเชื่อว่ามีพลังจริง หาก คสช. ประมาทพลังคนเหล่านี้ ประเมินไม่ได้ ซึ่งมันเป็นจุดแข็งและจุดอ่อนของคนที่มีอาวุธและมีอำนาจ โดยเฉพาะการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด มันจะไม่ได้ความจริงใจใดๆกลับมาเลย

กลไกของรัฐที่เป็นข้าราชการก็ไม่แฮปปี้กับการใช้อำนาจแบบนี้ แต่คนที่ตัดสินใจที่อยู่ใกล้ชิดกับ คสช. หรืออยู่วงไข่แดงของ คสช. ก็ไม่สามารถคิดอย่างอื่นได้ มันเป็นความเคยชินของคนที่มีอำนาจและมีอาวุธในมือ ยกเว้นจะมีใครสักคนที่สามารถตัดสินใจเปลี่ยนทิศทางใหม่เพราะเห็นว่าไปต่อไปไม่ได้แล้ว ดิฉันคิดว่าถ้า พล.อ.ประยุทธ์ทำตามสัญญาที่ประกาศให้เลือกตั้งเดือนพฤศจิกายนได้ เขาก็จะลงจากหลังเสือได้อย่างสง่างาม ความจริงเขาต้องประเมินตรงนี้ให้ออกว่ามันถึงจุดอิ่มตัวของทุกคนที่เฝ้ารอคอย แต่ถ้าคิดจะมีอำนาจหรือพยายามจะสร้างฐานอำนาจเพื่ออยู่ต่อไปให้แข็งแกร่งก็อาจไม่ได้อะไรเลยก็ได้ ในส่วนที่ดิฉันรับผิดชอบก็มองไม่เห็นเลยว่าการใช้อำนาจจะแก้ปัญหาอะไรได้

การใช้อำนาจทำให้ผู้คนขาดการมีส่วนร่วมที่จะบอกว่าตัวเองต้องการอะไรหรือไม่ต้องการอะไร ตรงนี้มันน่ากลัว เพราะที่สุดผู้มีส่วนได้เสียทุกคนก็จะรับผลจากการใช้อำนาจนั้น ถ้าเปิดพื้นที่ให้เขาได้ตัดสินใจร่วมตั้งแต่ตอนแรกก็จะลดความขัดแย้งได้หลายอย่าง มีปัญหาก็ช่วยกันแก้ แต่ที่ผ่านมาไม่เห็นบรรยากาศแบบนี้ ดิฉันเป็นห่วงสถานการณ์บ้านเมืองหากการเลือกตั้งถูกเลื่อนออกไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะการอ้างเหตุผลโดยไม่ฟังคนกลุ่มต่างๆที่เกี่ยวข้องซึ่งมีส่วนได้เสีย พรรคการเมืองเขาพร้อมมาตั้งนานแล้ว การเลื่อนการเลือกตั้งออกไปอาจจะเป็นการไม่พร้อมของ คสช. ในแง่การจะสร้างฐานอำนาจเท่านั้นเอง

การล่าชื่อให้ “บิ๊กป้อม” ลาออก

ดิฉันมองว่าปัญหานาฬิกาของ พล.อ.ประวิตรถือเป็นความผิดพลาดของ พล.อ.ประวิตรและ คสช. อย่างที่บอกว่ามันเชื่อมโยงรากเหง้าเดียวกัน คือพอคุณคิดว่ามีอำนาจ คุณจะสั่งให้ทุกคนซ้ายหันขวาหัน ให้เชื่ออย่างที่คุณเชื่อและพูด ซึ่งจริงๆมันไม่ได้ อย่างเช่นคุณพูดแบบนี้ก็หวังว่าคนทั้งประเทศจะฟังคุณและยอมรับสิ่งที่คุณพูดว่ายืมเพื่อนมาจริง แต่ใครจะเชื่อ คุณก็ต้องบอกให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) บอกให้คนเชื่อ ซึ่งก็ทำให้ ป.ป.ช. เสียหายเข้าไปอีก ถ้า ป.ป.ช. เชื่อคุณจริง ตีความให้เหมือนกับที่คุณต้องการจริง ป.ป.ช. ก็จะทำลายบรรทัดฐานและทำลายเจตนารมณ์ขององค์กร แม้ตอนนี้ยังไม่มีข้อยุติ แต่การที่คุณเปรยๆมาแบบนี้ทำให้เรารู้สึกสูญเสียความไว้วางใจทั้งหมดเลย เพราะ ป.ป.ช. เป็นองค์กรที่ถูกออกแบบมาเพื่อตรวจสอบการทุจริตของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและข้าราชการระดับสูงซึ่งกฎหมายปรกติเอาไม่ค่อยอยู่ แต่เมื่อ ป.ป.ช. บอกว่าการไม่แจ้งก็ไม่เป็นอะไร อันนี้เป็นปัญหาใหญ่มาก เพราะนี่คือช่องทางการฉ้อฉลที่ใหญ่มาก

ปัญหานาฬิกาหรูสะท้อนอะไรหลายๆอย่าง ที่สำคัญสะท้อนว่าเมื่อคุณมีอำนาจ คุณคิดว่าจะกลบทุกอย่างได้ด้วยอำนาจที่คุณมี ซึ่งคนค่อนประเทศไม่ได้เชื่อเหมือนคุณเลย คุณจะเอา ป.ป.ช. มาฟอกขาวให้ คนทั้งประเทศก็รู้สึกว่า ป.ป.ช. เสื่อมไปด้วย เรื่องทั้งหมดยิ่งแสดงให้เห็นว่าการใช้อำนาจที่มีมากมายก่ายกองเป็นอันตรายต่อผู้ใช้อำนาจเองด้วยซ้ำ เป็นเหมือนระเบิดเวลาที่คุณเป็นคนผสมผสานสารเคมีด้วยตัวเอง ตอนนี้สารเคมีที่คุณผสมขึ้นมาจะเป็นระเบิดแล้ว มันอาจกลายเป็นเครื่องมือพลีชีพของคุณเองก็ได้ ถามว่าใครทำ มันเริ่มต้นจากคุณหลงอำนาจต่างหาก ถามว่า พล.อ.ประวิตรไม่ยี่หระที่จะลาออก ไม่สนใจอะไร ยังเดินหน้าทำหน้าที่ต่อไปนั้น พล.อ.ประยุทธ์ถ้าตัดหัวโขน ตัดตำแหน่งออกได้ ก็มีสถานะเป็นน้องชายในบูรพาพยัคฆ์ แต่จริงๆเขาเป็นนายกรัฐมนตรี

ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ต้องรู้ว่าการตัดสินใจที่ดีในครั้งนี้อาจทำให้สังคมไม่เข้าสู่ภาวะมุมอับเกินไป เพราะคนไม่ศรัทธาไม่เชื่อ พล.อ.ประวิตร จนถึง ป.ป.ช. ไม่ได้มีแค่ 80,000 คนที่ปรากฏอยู่ในรายชื่อที่รวบรวมผ่านเว็บไซต์ Change.org ที่ส่งถึง พล.อ.ประยุทธ์ แต่ยังมีคนอีกจำนวนมหาศาล เพียงแต่เขาไม่มีโอกาสลงชื่อ หรืออาจกลัวเพราะเป็นข้าราชการ เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ดิฉันมั่นใจว่าต้องมีมากกว่านี้แน่

ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ตัดสินใจดีๆอาจพาสังคมไทยไปได้อีกระยะหนึ่งจนกระทั่งมีการเลือกตั้ง อย่างน้อยก็เหมือนปลดชนวนระเบิดที่ พล.อ.ประวิตรเป็นผู้ผสมสารเคมีร่วมกับ ป.ป.ช. จริงๆแล้วถ้าเขาไม่ติดขัดอะไร ไม่รู้สึกว่าเสียหน้า คิดเหมือนผู้นำหลายประเทศที่ลาออก เขาก็จะสง่างามกว่านี้เยอะ แต่นี่ดันทุรังไปเรื่อยๆ เพราะเขามีอำนาจ เราจึงไม่แน่ใจว่าฉากจบเรื่องนี้จะสวยหรือเปล่า ไม่มีใครตอบได้ ถ้าเลือกฉากจบด้วยการก้มศีรษะต่อหน้าประชาชนทั้งประเทศ เพื่อให้ทุกคนสบายใจ เพื่อให้นายกรัฐมนตรีทำงานต่อไปอย่างราบรื่น แค่นี้ประวัติศาสตร์ก็จะบันทึกคุณอีกแบบหนึ่ง ความจริง พล.อ.ประวิตรเคยประกาศว่าถ้าประชาชนไม่ยินดีให้อยู่ในตำแหน่งต่อก็ยินดีลาออก แต่ก็เปลี่ยนใจไม่รู้ด้วยเหตุผลใด การไม่รักษาสัจจะคือความเสื่อมของผู้ลั่นวาจา จริงๆภารกิจของ พล.อ.ประวิตรคนอื่นก็ทำได้อยู่แล้วและอาจทำได้ดีกว่าด้วยซ้ำ

ถ้าไม่ลาออกจะเกิดอะไรขึ้น

ไม่ทราบว่า พล.อ.ประวิตรและ พล.อ.ประยุทธ์จะตัดสินใจอย่างไรต่อไป แต่เขาคงไม่คิดเหมือนกับที่เราคิด เราไม่มีอำนาจ เราไม่มีฐานกำลังและไม่มีผลทางการเมืองที่รอคอย เราก็ตัดสินใจและคิดแบบเรา อยากให้ทุกอย่างเคลื่อนไปด้วยความปรกติสุขและสังคมกลับสู่ภาวะปรกติ แต่คนที่มีอาวุธ มีอำนาจ มีความหวังทางการเมืองก็จะคิดอีกอย่าง ไม่เหมือนเราอยู่แล้ว จึงตอบไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มันมีกิเลสมีตัณหาเยอะ ไม่รวมปัญหาต่างๆมากมายก่อนหน้านี้ เช่น การจัดซื้ออาวุธต่างๆ หรือการเหมาเครื่องบินไปประชุมต่างประเทศ ทั้งหมดเป็นความเน่าเฟะที่ซ่อนอยู่ ซึ่งประชาชนให้อภัยไม่ได้เลย เมื่อไรที่คุณลงจากอำนาจ ภาพเหล่านี้จะชัดขึ้น ถึงวันนั้นใครจะให้อภัยคุณ

มองอย่างไรนายกฯคนนอก

ตอนที่เขียนรัฐธรรมนูญสมัยอาจารย์บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ดิฉันเคยพูดไว้ว่า การเขียนรัฐธรรมนูญเพื่อให้มีนายกฯคนนอก ถ้าจะเอาอดีตมาอธิบายก็มีเหตุผลเดียวเท่านั้นคือเป็นประตูหนีไฟ แต่ต้องไม่ใช่เป็นช่องว่างให้ตัวแทนพรรคการเมือง หรือตัวแทนทุน หรือตัวแทนอำนาจเข้ามา ถ้าคุณจะเข้ามาอีกรอบหนึ่งก็ต้องไม่ใช่ฐานะ คสช. ไม่ใช่ฐานะผู้นำกองทัพ แต่นี่เขามาแบบมีอำนาจเต็มที่ นิสัยขี้วีน อารมณ์เสีย ชี้มือชี้ไม้เกรี้ยวกราด อันนี้อาจเปลี่ยนยาก บางเรื่องอาจเบาลงก็ได้ เพราะเขารู้ว่าไม่ใช่ผู้นำกองทัพ ไม่ใช่เจ้าของอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด นักการเมืองก็ต้องเรียนรู้เหมือนกันว่าถ้าคุณไม่เอาบทเรียนในอดีตมาใช้ คนที่จ้องจะใช้อำนาจแทนคุณก็ยังมีอยู่ในสังคมไทย

แม้ พล.อ.ประยุทธ์จะประกาศว่าตัวเองเป็นนักการเมือง แต่เขาไม่ใช่สไตล์นักการเมือง คนจะเป็นนักการเมืองไม่ใช่สร้างได้ชั่วข้ามคืน เขาเป็นทหาร เขาคิดว่าบุคลิกแบบนักการเมืองหรือวิธีคิดแบบนักการเมืองจะงอกขึ้นมาเลยหรือ มันต้องใช้เวลาก่อรูปก่อร่างขึ้นมาในระบบคิดของเขา มันไม่เร็วขนาดนั้น

ทางออกของประเทศไทย

ความจริงทุกคนกำลังทำหน้าที่กันอยู่ โดยเฉพาะกลุ่มที่พยายามจะให้มีการเลือกตั้ง ส่วนจะสำเร็จหรือไม่ก็เอาใจช่วยกันต่อไป หวังว่าจะมีจุดเปลี่ยนให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ตัดสินใจอย่างถูกต้อง อย่าซื้อเวลาเลย เพราะไม่ได้มีประโยชน์อะไร มันนานเกินไปแล้ว ที่สำคัญไม่มีอะไรที่เป็นหลักประกันเลยว่าจะมีการปฏิรูปโดยที่คนส่วนใหญ่พอใจ เหมือนบ้านเมืองสงบ แต่ไม่ได้เป็นความสงบอย่างแท้จริง จึงควรพอได้แล้ว 4 ปีที่เล่นมา


You must be logged in to post a comment Login