วันพฤหัสที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2567

โอกาสจะเป็นวีรบุรุษ? / โดย ประชาธิปไตย เจริญสุข

On April 10, 2017

คอลัมน์ : ฟังจากปาก
ผู้เขียน : ประชาธิปไตย เจริญสุข

สถานการณ์บ้านเมืองยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ขอแบ่งออกเป็น 3 ประเด็นหลักๆคือ 1.เรื่องเศรษฐกิจ 2.เรื่องความมั่นคง 3.เรื่องการแก้ปัญหาสังคม ถ้าให้คะแนนจากคะแนนเต็ม 10 ผมให้ต่ำกว่า 5 ในทุกด้าน เริ่มเรื่องเศรษฐกิจวันนี้ ถ้า คสช. กล้าที่จะตอบตัวเลข ตอบโจทย์ทั้งหมด ก็น่าจะเห็นปัญหาว่าวันนี้เศรษฐกิจตัวไหนดีบ้าง รวยกระจุก จนกระจายเหมือนเดิมหรือไม่ มาตรการต่างๆของคุณสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ดูแลงานทางด้านเศรษฐกิจจนถึงขณะนี้ 2 ปีกว่า ท่านกล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำหรือไม่ว่าเศรษฐกิจดี

ถ้าอยากรู้ขอให้ลงไปเดินถามชาวบ้านดู ผมเชื่อว่า คสช. หรือรัฐบาลมีข้อมูลอยู่แล้วในการทำโพลหรือสำรวจแต่ไม่กล้าพูด เช่น เรื่องภาษี เงินคงคลัง การค้าขายพีระมิดหัวตั้ง คือเอาฐานขึ้นไปด้านบน ซึ่งด้านบนใกล้จะตายกันหมดแล้ว ส่วนด้านล่างไม่เดือดร้อนอะไร เศรษฐกิจดีไม่ดีก็มีสตางค์ เพียงแต่ใช้ได้น้อยหน่อย การลงทุนภาครัฐก็ถูกรัดเข็มขัด มันเลยส่งผลอย่างเป็นระบบ สอดรับกับการเผลอพูดของผู้นำ คสช. เรื่องเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 1 เปอร์เซ็นต์ แสดงว่ามีการคิดมาล่วงหน้า ถ้ารัฐบาลมีสตางค์พอก็ไม่จำเป็นต้องขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่แล้ว เพราะจะกระทบเป็นวงกว้าง

ส่วนการค้าต่างประเทศวันนี้ก็รู้ทั้งรู้ว่าทั่วโลกเขาไม่ค้าขายกับประเทศที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ประเทศไทยก็เหมือนถูกปิดประเทศ สิทธิพิเศษต่างๆก็ไม่ได้ พอกลับมาในประเทศ คนก็ไม่มีจิตใจจะใช้จ่าย เพราะมองไม่เห็นอนาคตประเทศ

ไม่แน่ใจว่ารัฐบาล คสช. จะบริหารราชการแผ่นดินไปในทิศทางไหน ทุกวันนี้ภาระตกไปอยู่ที่ผู้นำคนเดียว กระทรวง ทบวง กรมต่างๆ ก็ไม่มีความเคลื่อนไหว มีแต่ข่าวการใช้จ่ายเงิน แม้กระทั่งกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาก็ใช้งบประมาณจากภาษีประชาชน 300 ล้านบาทซื้อลิขสิทธิ์โมโตจีพี ผมถามว่าเป็นเรื่องของรัฐบาลหรือไม่ มันควรเป็นเรื่องของเอกชน

เรื่องความมั่นคง ถ้าย้อนกลับไปดูแค่กรุงเทพมหานคร การบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงตั้งแต่ก่อนที่จะมีการปฏิวัติรัฐประหาร มีเสื้อเหลือง เสื้อแดง เสื้อเขียว เสื้อน้ำเงิน นกหวีด หรืออะไรก็แล้วแต่ ไม่ได้เกิดขึ้นจากปัญหาของคนในสังคมเท่านั้น แต่เกิดจากปัญหาที่มีความตั้งใจจะให้เกิดขึ้นใช่หรือไม่ ยกตัวอย่างการเข้าไปปลูกข้าวในทำเนียบรัฐบาล การยึดสนามบิน ถ้าเราเอากลไกตามภาวะปรกติแล้ว ปีนเข้าไปในรั้วทำเนียบก็คงโดนยิงหงายท้องแล้ว ความมั่นคงที่ท่านบอกว่าคนจะตีกัน ท่านก็ใช้บังคับกฎหมายสิครับ ใครยึดสถานที่ราชการก็จับกุมเหมือนสากลทั่วโลก ใครยึดสนามบินก็ดำเนินการข้อหาก่อการร้าย ก็ว่ากันไป ใครชัตดาวน์กรุงเทพฯก็ดำเนินการไป คนที่อยู่อุดรธานี นครสวรรค์ อุทัยธานี เขาไปเกี่ยวข้องอะไรกับคนที่ชุมนุมในกรุงเทพฯ การแก้ปัญหาต้องแก้จุดนั้น คนก็จะไม่เกิดภาวะเบื่อม็อบ รำคาญม็อบ แล้วก็จะไม่เกิดการปฏิวัติรัฐประหาร

รัฐบาลไม่ดี 4 ปีประชาชนก็ไม่เลือก ถ้าผู้นำทุจริตคอร์รัปชันก็ดำเนินการตามกฎหมายไป แต่รัฐบาล คสช. 3 ปีมานี้ยังไม่เห็นการบังคับใช้กฎหมายที่เป็นธรรม จึงต้องรอดูต่อไป

เรื่องสุดท้ายปัญหาสังคม กว่าจะสร้างประเทศ ตั้งกรุงรัตนโกสินทร์มาใช้เวลา 250 ปี เพราะฉะนั้นจะแก้ปัญหาด้วยดาบอาญาสิทธิ์มาตรา 44 เพียงแค่ชั่วข้ามคืนคงทำลำบาก เช่น การคาดเข็มขัดนิรภัย มีกฎหมายบังคับใช้อยู่แล้วตามภาวะปรกติ การใช้อำนาจมาตรา 44 มาบังคับใช้ให้คนต้องคาดเข็มขัดนิรภัยเป็นเรื่องที่ทั่วโลกฟังแล้วก็คงหัวเราะ คนที่เซ็นคือ พล.อ.ประยุทธ์ ท่านได้ศึกษารายละเอียดและอ่านคนที่วิพากษ์วิจารณ์มั้ย ไม่ใช่ฟังแต่เฉพาะพวกเออออห่อหมก เพราะคำนิยามคำว่ารถยนต์ ถ้าท่านไปเปิดพระราชบัญญัติจราจร การขนส่ง การคมนาคมทั้งหลาย เขียนไว้ชัดเจนว่ารถยนต์คือรถที่มี 3 ล้อขึ้นไป ใช้เครื่องยนต์กลไกและไฟฟ้าเพื่อการขับเคลื่อน หมายความว่ารถยนต์ทุกชนิดต้องคาดเข็มขัดนิรภัยทั้งคนขับและคนนั่ง

ปัญหาสังคมที่ท่านเซ็นไป ผมไม่รู้ว่าใครเสนอ ใครไปชงให้ท่าน ถ้านายกรัฐมนตรีทำเรื่องอื่นที่เป็นเรื่องมหภาคระดับประเทศคนจะปรบมือให้ เพราะในทางปฏิบัติรถสองแถวก็มี รถเมล์ถ้าคนยืนก็ผิดแล้ว คนนั่งรถเมล์ ขสมก. รถร้อน ก็ไม่มีเข็มขัดนิรภัย รถเก๋งไปบังคับให้คาดเข็มขัดนิรภัยถูกครับ แต่เมื่อจดทะเบียนเป็นรถยนต์แบบ 7 ที่นั่ง หมายความว่าถ้าคาดได้ 4 คน อีก 3 คนไม่คาดก็ผิดแล้ว การส่งเสริมการใช้คาร์พูลก็มีปัญหาตามมา

โดยภาพรวมผมเห็นด้วย ใครไม่คาดเข็มขัดนิรภัยคู่หน้าก็ดำเนินการจับกุม กวดขัน ให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการ อย่างนี้เป็นเรื่อง พ.ร.บ.จราจรทั่วๆไป ไม่ถึงขนาดต้องใช้อำนาจรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยเฉพาะมาตรา 44 แม้กระทั่งเรื่องใบสั่ง เรื่องยกรถโน่นนี่ กฎหมายทั่วไปก็มีอยู่แล้ว กระทรวงคมนาคม กรมการขนส่งทางบก ตำรวจก็ออกระเบียบ ประกาศเพิ่มเติมอะไรก็ว่ากันไป

การเคารพกฎกติกา ผู้นำประเทศต้องกำชับให้ข้าราชการปฏิบัติตามกฎหมายเดิมที่มีอยู่ อันไหนเก่าไปก็แก้ไขเพิ่มเติม ทางเท้าทุกวันนี้กรุงเทพมหานครยังปล่อยให้คนตั้งแผงลอยเยอะแยะมากมาย ตั้งโต๊ะ ตั้งป้ายไฟ ไม่ต้องใช้มาตรา 44 หรอก แค่กวดขันผู้ว่าฯ กทม. ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ถ้ายังปล่อยปละละเลยก็ย้าย

มาตรา 44 ควรจะไปออกในเรื่องใหญ่ๆระดับประเทศ เช่น บุกรุกป่าแล้วแก้ไขไม่ได้ จะสร้างถนนเลียบแม่น้ำ บุกรุกแม่น้ำเจ้าพระยา อย่างนี้ควรใช้มาตรา 44 เพราะเป็นเรื่องที่สังคมแก้ไขไม่ได้แล้ว รัฐบาลปรกติดำเนินการไม่ได้ เพราะต้องผ่านสภา ฝ่ายค้านก็ตีรวน

ที่ผ่านมารัฐบาลทำได้ดีอยู่อย่างเดียวคือ บังคับไม่ให้คนตรวจสอบ เช่น พรรคเพื่อไทยจะแถลงข่าวเรื่องหนังสือจำนำข้าวก็ห้ามเขาแถลง ถ้าบทความพาดพิงรัฐบาล คสช. มีการทุจริตคอร์รัปชัน ท่านก็สามารถไปดำเนินการตามกฎหมายได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นช่วง 2-3 ปีมานี้ ผมไม่ต้องบอกเลยว่าจะให้คะแนนเท่าไร เหมือนเราเรียนหนังสือได้ C- แล้วเที่ยวไปอวดอ้างว่าได้ A+ เราพูดได้ แต่ในใจเรารู้ ผมเชื่อว่า คสช. ก็รู้

ในภาพรวม 3 ปี คนที่เคยเชียร์ คสช. แม้กระทั่งคุณธีรยุทธ บุญมี ที่เคยเป่านกหวีดยังตำหนิติเตียน อย่างนี้หมายความว่าขนาดพวกเดียวกัน รักกันใจจะขาด ยังกล้าตำหนิติเตียน ส่อให้เห็นว่าสิ่งที่ท่านได้ทำมา 3 ปีนี้มีอะไรดีบ้าง ที่บอกว่าบ้านเมืองมีความมั่นคง สงบ วันนี้ประชาชนมีความสุขเพราะไม่มีม็อบ ม็อบมันมีทั่วโลก ประเทศเจริญหรือประเทศยากจนเขาก็มี ถือเป็นเรื่องความเห็นต่างของมนุษย์ที่มีสิทธิจะเรียกร้องความเป็นธรรม แต่ขนาดปิดสถานที่ราชการอย่างนี้ผิดก็ดำเนินการจับกุม ฝรั่งเศสยิงแก๊สน้ำตาสลายการชุมนุม ยุโรปหรืออเมริกาก็ทำกัน ไม่ใช่เรื่องตื่นเต้นอะไรถ้าท่านปฏิบัติตามกฎกติกาของสังคม

ผมอยากเรียกร้องรัฐบาล คสช. เมื่อท่านมีอำนาจ ท่านต้องวางกลไกที่สำคัญ เมื่อท่านลงจากอำนาจหรือลงจากหลังเสือแล้วท่านก็จะเป็นวีรบุรุษ แต่ถ้าไม่วางรากฐานความเป็นกลาง ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการปรองดองหรือคณะกรรมการอิสระอะไรก็แล้วแต่ ก็จะถูกข้อครหาว่าท่านทำเพื่อพวกหรือเปล่า ถ้าท่านดำเนินการมาตามปรกติ ไม่ฝืนธรรมชาติ บ้านเมืองยังต้องอยู่ ไม่ใช่คิดวันนี้แล้วให้เด็กที่เกิดมาอีก 20 ปีข้างหน้า ต้องไปทำตามรัฐบาลเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ซึ่งบ้านเมืองมันไปไกลแล้ว เราไปเที่ยวดาวอังคารกันแล้ว เราอาจเอายางพาราไปขายดาวอังคารกันจริงๆ

ถ้า คสช. ยืดอำนาจออกไปอีก

คสช. จะอยู่กี่ปีผมไม่รู้สึกรู้สาอะไร จะเป็น ส.ส. หรือไม่ก็เป็นประชาชน จะอยู่อีก 2 ปีก็เรื่องของ คสช. แต่สาระสำคัญคือระวังจะเหมือน พล.อ.สุจินดา คราประยูร ตระบัดสัตย์เพื่อชาติเมื่อไร ทางลงก็ไม่ค่อยสวยเหมือนกัน แม้ท่านไม่ได้พูดกับประชาชน เพราะทุกวันนี้ท่านก็กดหัวประชาชนอยู่แล้ว แต่ท่านไปพูดกับนานาชาติ ท่านพร้อมที่จะโดนนานาชาติประณามหรือไม่ ไปที่ไหนมีแต่คนร้องยี้ ท่านจะอ้างโน่นอ้างนี่ก็เป็นเรื่องของท่าน ประชาชนไม่มีสิทธิหืออะไรอยู่แล้ว

ถ้าท่านมาแบบฮีโร่ แก้ปัญหาแบบฮีโร่ เวลาท่านถอดหน้ากากก็ยังเป็น พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ใช่ถอดหน้ากากแล้วเป็นคนอื่น เป็นตัวอะไรไม่รู้ที่สังคมเหยียดหยัน มันก็ซ้ำรอยผู้นำในยุคอดีตที่ไม่มีใครได้ดิบได้ดีสักคนเดียว ผมจึงไม่สนใจว่าจะเลือกตั้งสิ้นปีนี้หรือไม่ ก็สุดแท้แต่ท่าน ความสำคัญของความเป็นมนุษย์คือศักดิ์ศรีและความสัตย์ วันนี้ผมอยากให้ คสช. ทำอะไรก็แล้วแต่ที่เป็นสุภาพบุรุษและลูกผู้ชาย พูดอะไรไว้ก็ทำตามนั้น ท่านก็มีโอกาสจะเป็นวีรบุรุษ

การไล่ล่าทักษิณและคนเสื้อแดง

ผมเชื่อว่ายังมีความโกรธ ความไม่ชอบเป็นทุนอยู่ เพราะฉะนั้นการจะทำอะไรก็แล้วแต่ ผมไม่ได้เข้าข้าง จะเป็นเสื้อเหลือง เสื้อแดง ถ้าท่านคิดว่าดำเนินการแล้วถูกต้องก็ทำไปเถอะ กระบวนการมันมีอัยการ ศาลชั้นต้น อุทธรณ์ ฎีกา เหมือนรถเราอยู่ดีๆไม่รู้ใครเอาอะไรมาใส่แล้วบอกว่านี่ของเรา ก็ต้องไปต่อสู้กัน แต่ไม่ใช่บอกผมเป็นโจรเลย ถ้าไม่กลั่นแกล้งกัน ไม่มีจริงก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้ามีก็หมายความว่าก็ต้องต่อสู้กัน ต้องมีการอธิบายแก้ไข ส่วนจะมาไล่ล่าใครยังไงก็สุดแท้แต่ เป็นแนวคิดของเขาไป

กระทบสร้างความปรองดองมั้ย

เกี่ยวหรือไม่เกี่ยวผมไม่สนใจ เพราะไม่ใช่เรื่องที่จะกระทบการปรองดองมากน้อยขนาดไหน ถ้าท่านยึดหลักกฎหมายที่ถูกต้องก็ไม่มีปัญหาอะไร ก็ถือเป็นเรื่องปรกติ แต่ถ้าท่านคิดว่าการดำเนินการของท่านเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง มีเป้าประสงค์ คนสั่ง คนทำย่อมรู้แก่ใจตัวเองอยู่แล้ว ผมคิดว่ากฎหมายยังไงก็เป็นกฎหมาย ถ้าเขาทำผิด ทำไม่ถูก ท่านบังคับใช้ก็ไม่มีปัญหาอะไร ก็ทำไป แต่ถ้าท่านจะใช้อภินิหารของกฎหมาย ถ้าพูดตามตรรกะ ท่านทำให้การเรียนการสอนวิชารัฐศาสตร์การปกครอง นิติศาสตร์มั่วไปหมด กฎหมายแพ่ง แต่ท่านบอกว่าน่าจะมีอภินิหารไปถึงกฎหมายอาญาได้ ผมคิดว่าตรรกะมันผิดอยู่แล้ว

ความจริงที่ ดร.ทักษิณได้แสดงความตั้งใจให้ทุกฝ่ายไม่ต้องนำตัวท่านมาเป็นเงื่อนไขในกระบวนการสร้างความปรองดองก็ถือว่าเป็นสุภาพบุรุษมาก ถึงแม้ว่าตัวเองจะถูกกระทำโดยใช้กฎหมายที่ไม่เป็นธรรมมากำจัดท่านที่ถือว่าโดนกระทำฝ่ายเดียวมาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แต่ท่านขอเก็บความเจ็บปวดไว้เพียงคนเดียว และที่ผ่านมาอดีตนายกฯก็ไม่เคยพูดอะไรมานานแล้ว มีแต่เดินสายทำสิ่งดีๆด้วยการประชาสัมพันธ์ให้กับประเทศไทยว่าเป็นประเทศที่มีคุณภาพและมีศักยภาพในการลงทุน เป็นประเทศที่มีหน้ามีตาในสังคมโลก ทุกๆครั้งที่มีโอกาสไปบรรยายในต่างประเทศ วันนี้ขอเพียงให้ประเทศไทยเดินหน้าพ้นจากกับดักความขัดแย้งเท่านั้นก็เป็นสิ่งที่เพียงพอแล้ว

ข้อเสนอให้ตั้งกรรมการอิสระปรองดอง

ข้อเสนอของพรรคเพื่อไทยที่ให้ตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อการปรองดอง ผมถามว่าเสียหายอะไรมั้ย พรรคเพื่อไทยมองว่าเมื่อคณะกรรมการปรองดองทั้งหลายที่ตั้งมาทุกวันนี้มาจากส่วนงานราชการ ซึ่งแน่นอนว่าต้องอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ คสช. เมื่อผลออกมาอย่างไร คนจะเห็นด้วยมากน้อยขนาดไหน ตรงนี้ท่านตอบได้อยู่แล้ว แต่ผมถามกลับว่าแล้วถ้าคณะกรรมการอิสระขึ้นมาล่ะ ใครได้ประโยชน์ แน่นอนสังคมได้ประโยชน์ และคนที่ได้ประโยชน์ต่อมาคือ พล.อ.ประยุทธ์ จะดูหล่อดูเท่ เพราะผลที่ออกมามีความเป็นกลาง เป็นอิสระ เมื่อเป็นเช่นนั้นต่อไปจะทำอะไรก็แล้วแต่ก็จะทำให้ทุกคนในสังคมยอมรับและโต้เถียงไม่ได้

ในอนาคตเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ลงจากอำนาจ คณะกรรมการปรองดองตั้งมาจากพวกท่านทั้งนั้น คนก็มองว่าถ้าอย่างนี้ไม่ได้แล้ว ผลมันล้มๆ ยกเลิกๆ แล้วยังไงครับ ผมมองไม่เห็นความเสียหายเลยที่พรรคเพื่อไทยเสนอให้ตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อการปรองดอง ซึ่งพรรคก็ไม่ได้ชี้ว่าจะเอานาย ก. นาย ข. ท่านก็ไปดำริมาว่าท่านต้องการใคร ท่านอยากจะได้อาจารย์คนโน้นคนนี้ก็แล้วแต่ท่าน แต่ผลที่ออกมามันมีความเป็นอิสระและความเป็นกลาง ผลออกมาอย่างไรพรรคเพื่อไทยก็ยอมรับ อาจจะไม่มาในทางที่เป็นประโยชน์ต่อพรรคเพื่อไทยก็ได้ เรายังไม่รู้ผลด้วยซ้ำ

ดังนั้น ข้อเสนอของเราไม่ใช่การตั้งแง่อะไร ผมถามกลับบ้าง ถ้าวันนี้พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล ตั้งคณะกรรมการเพื่อความปรองดองแล้วเอาคนของพรรคมาทำทั้งหมด ถามว่าพรรคประชาธิปัตย์รับได้หรือไม่ ก็เหมือนกัน หลักการง่ายๆ ผมคิดว่าเป็นประเด็นสาระทางการเมืองมากกว่า

สุดท้ายแล้วความปรองดองจะเกิดขึ้นหรือไม่นั้น ผมไม่ใช่นอสตราดามุสที่จะมองอนาคตเห็นได้ แต่รากฐานของทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีที่มา ภาษาวิชาการเรียกว่าเหลียวหลังแลหน้า ถ้าข้างหลังยังมีขี้กลากขี้เกลื้อน ข้างหน้าวันพรุ่งนี้ก็ต้องลุกลาม เพราะฉะนั้นอนาคตจะเป็นอย่างไรตอบได้จากเมื่อวานนี้และวันนี้ ผลของมันจะออกมาพรุ่งนี้ วันนี้เราใส่อะไรเข้าไปในกระบวนการต่างๆ เหมือนอย่างคณะกรรมการอิสระ ถ้าคุณทำก็รู้เลยว่าพรุ่งนี้ผลต้องออกมาอย่างนี้ มันเห็นทางอยู่แล้วว่าจะออกมาอย่างไร

ดังนั้น จะปรองดองได้หรือไม่ โบราณเขาบอกว่า การปฏิวัติที่ได้มาไม่เคยมีที่จะไม่ใช้ปลายกระบอกปืน เพราะฉะนั้นประชาธิปไตยก็ไม่ได้มาด้วยการนั่งอยู่เฉยๆเช่นเดียวกัน มันต้องเกิดการเรียกร้อง แล้วท่านบอกว่าท่านใช้มาตรา 44 ทหารเต็มบ้านเต็มเมืองมา 3 ปี มันก็ต้องกลับเข้ากรมกอง


You must be logged in to post a comment Login