วันศุกร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2567

กาลเวลาผันผ่าน ‘อภินิหาร’มิเคยเปลี่ยน / โดย ทีมข่าวการเมือง

On March 27, 2017

คอลัมน์ : เรื่องจากปก
ผู้เขียน : ทีมข่าวการเมือง

“พบอุโมงค์ลับ!

ในธรรมศาสตร์

ส้องสุมอาวุธร้าย”

พาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเมื่อครั้งเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งเป็นหนึ่งในข้ออ้างการล้อมปราบนักศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อย่างโหดเหี้ยม หลังจากมีการใช้สื่อต่างๆปลุกระดมกล่าวหาว่าศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยในขณะนั้นเป็นคอมมิวนิสต์และเจตนาจะล้มล้างสถาบันเบื้องสูง โดยเฉพาะวิทยุยานเกราะได้กระจายเสียงปลุกระดมให้ฆ่านักศึกษาคอมมิวนิสต์ที่ชุมนุมกันอยู่ในมหาวิทยาลัย ขณะที่พระกิตติวุฒโฑ เกจิอาจารย์ดังในขณะนั้น ก็ออกมากล่าวย้ำสำทับว่า “ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป”

เหตุการณ์ 6 ตุลาถือเป็นประวัติศาสตร์และบทเรียนสำคัญของสังคมไทย ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นอีก แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครจดจำประวัติศาสตร์ ทำให้กว่า 40 ปีที่ผ่านมาสังคมไทยยังคงจมปลักกับสิ่งเลวร้ายเดิมๆ การใช้อำนาจแบบเดิมๆ เวียนว่ายอยู่ในวงจรอุบาทว์เดิมๆ

การปลุกระดมและสร้างวาทกรรมบิดเบือนต่างๆเพื่อให้เกิดความเกลียดชังและจบลงด้วยการเข่นฆ่าประชาชนจากเจ้าหน้าที่รัฐเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าแทบจะเหมือนในอดีต เปลี่ยนเพียงสถานที่และเวลา ฝ่ายต่างๆยังคงรับบทละครเดิมๆ เปลี่ยนเพียงแค่ตัวแสดงเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 พฤษภาทมิฬ 2535 หรือเมษายน-พฤษภาคม 2553 รวมถึงเหตุการณ์ปัจจุบันหลายอย่างที่หวั่นว่าจะส่อเค้าเดินตามบทละครเดิมๆ

การกล่าวหาและใส่ร้ายป้ายสีประชาชน นักศึกษา นักวิชาการ หรือนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามกับผู้มีอำนาจรัฐแต่ละยุค กลายเป็นความรุนแรงซ้ำซาก เมื่อครั้ง 6 ตุลาก็ใช้สถานการณ์ยัดเยียดนิสิตนักศึกษาเป็นคอมมิวนิสต์ และกุข่าวเท็จว่ามีการขุดอุโมงค์ในมหาวิทยาลัยเพื่อซ่องสุมอาวุธ เพียงเพื่อใช้อ้างเป็นเหตุผลในการล้อมปราบ ยิง ฆ่าทารุณอย่างไม่ละอายต่อบาปกรรมใดๆ โดยสัญญาณความรุนแรงทุกครั้งมักจะมาพร้อมกับอำนาจรัฏฐาธิปัตย์ที่มิอาจตรวจสอบได้ทางรัฐสภา

แม้ปัจจุบัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะภูมิใจว่าสามารถทำให้คนไทยไม่ฆ่ากัน และรัฐบาล คสช. ก็ไม่เคยคิดทำร้ายคนไทยด้วยกันก็ตาม แต่การใช้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด อำนาจพิเศษ หรือมาตรา 44 เรียกนักการเมือง นักวิชาการ นักศึกษา และประชาชนที่เห็นต่างมารายงานตัว หรือการกล่าวหาในคดีความต่างๆอย่างเข้มข้น ก็มีคำถามว่าเป็นการใช้กฎหมายตามหลักนิติรัฐ นิติธรรม ที่อยู่บนความยุติธรรม เป็นธรรม และเสมอภาคจริงหรือไม่?

อย่าไล่บี้ภาษีเฉพาะ “นักการเมือง”

การใช้อำนาจและกฎหมายภายใต้อำนาจรัฏฐาธิปัตย์ที่มาจากการทำรัฐประหารที่เป็นประเด็นร้อนขณะนี้คงหนีไม่พ้นกรณีวัดพระธรรมกายที่มีการพยายามโยงถึงอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร จนนำมาสู่การหาวิธีใช้ “อภินิหารทางกฎหมาย” จ่อเรียกเก็บภาษี 16,000 ล้านบาท กรณีขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
ให้กับกลุ่มเทมาเส็กสิงคโปร์เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 ก่อนคดีขาดอายุความในวันที่ 31 มีนาคม 2560

แม้ล่าสุด (20 มีนาคม) จะมีการเผยแพร่ราชกิจจานุเบกษากรณีคําวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรที่ 41/2560 เรื่องการขยายเวลาการออกหมายเรียกตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากรว่า ไม่อาจนําบทบัญญัติมาตรา 3 อัฏฐ วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร เกี่ยวกับการขยายหรือเลื่อนกําหนดเวลาต่างๆตามประมวลรัษฎากร ซึ่งเป็นบททั่วไป มาใช้บังคับแก่กําหนดเวลาการออกหมายเรียกและการขยายเวลาการออกหมายเรียกตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากรได้ คําวินิจฉัยนี้ให้ใช้บังคับถัดจากวันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป สั่ง ณ วันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2560 แต่ พล.อ.ประยุทธ์ยืนยันภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (21 มีนาคม) ว่าราชกิจจานุเบกษาเรื่องการขยายเวลาการออกหมายเรียกเก็บภาษีเป็นเรื่องเดิม การเรียกเก็บภาษีอดีตนายกฯทักษิณเป็นเรื่องใหม่และเป็นคนละกรณีกัน อย่าเอาอันเก่ามาพันกับอันใหม่ ส่วนจะสามารถทำได้หรือไม่ให้ว่ากันในกระบวนการยุติธรรม ถ้ารัฐบาลทำได้แต่ไม่ทำก็จะผิดกฎหมายอาญา มาตรา 157

ประเด็นของอดีตนายกฯทักษิณยังหาข้อสรุปไม่ได้ รัฐบาลจะสั่งให้กรมสรรพากรใช้มาตรา 61 แห่งประมวลรัษฎากรประเมินเรียกเก็บภาษีก็ทำไม่ได้ เพราะไม่มีภาระภาษีเกิดขึ้น เนื่องจากการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปทั้ง 2 ครั้งไม่ก่อให้เกิดเงินได้พึงประเมิน วิธีเดียวที่จะทำได้คือต้องใช้อำนาจเผด็จการแก้ไขกฎหมาย

เช่นเดียวกับกรณีนายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แจ้งให้กรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีจากผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในช่วงรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จำนวนกว่า 60 คน ที่มีรายการทรัพย์สินเพิ่มขึ้นหรือหนี้สินลดลงมากกว่า 50 ล้านบาท ก็มีคำถามว่า สตง. เอาอำนาจหน้าที่อะไรออกมาไล่บี้แต่เฉพาะนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามในขณะนี้

จาก “คาร์บ๊อง” ถึง “จัดฉาก”?

อย่างไรก็ตาม การไล่บี้รีดภาษีอดีตนายกฯทักษิณและ 60 นักการเมืองได้กลายเป็นข่าวที่ถูกเก็บไว้ใต้พรมชั่วคราว เมื่อมีข่าวการตรวจค้นอาวุธ 9 จุดในพื้นที่หลายจังหวัดเมื่อวันเสาร์ที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ-ทหารได้เน้นไปที่นายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือ “โกตี๋” แกนนำเสื้อแดงปทุมธานี และตั้งประเด็นว่าอาจเกี่ยวข้องกับกลุ่มก่อกวนการตรวจค้นวัดพระธรรมกาย รวมถึงการขู่ลอบสังหาร พล.อ.ประยุทธ์

พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการตรวจค้นบ้านพักเครือข่าย “โกตี๋” ว่าพบระเบิดอาวุธสงครามและเครื่องกระสุนปืนจำนวนมาก รวมทั้งเอกสารสำคัญ เช่น สมุดบัญชีธนาคาร พาสปอร์ต สะท้อนว่ามีการครอบครองสิ่งผิดกฎหมาย ซึ่งสุ่มเสี่ยงไปใช้ในทางที่ผิดและเป็นอันตรายต่อสังคม

ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าเจ้าหน้าที่อาจมีการจัดฉากใส่ร้าย “โกตี๋” หรือไม่ เนื่องจากอาวุธสงครามและกระสุนปืนมีลักษณะค่อนข้างใหม่ และ “โกตี๋” ก็ไปอยู่นอกประเทศกว่า 3 ปีแล้วนั้น พล.ท.สรรเสริญยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ได้สืบสวนและเก็บข้อมูลมาระยะหนึ่ง และขณะเข้าปฏิบัติการก็มีสื่อมวลชนร่วมเป็นพยานจำนวนมาก รวมทั้งผู้ที่ครอบครองอาวุธได้เก็บทุกอย่างไว้ในกล่องที่ปิดผนึกและซุกซ่อนไว้ในที่ลับเฉพาะ ทำให้ของกลางทั้งหมดดูใหม่ ไม่ใช่การจัดฉากแต่อย่างใด

หลังจากปรากฏเป็นข่าว “โกตี๋” ได้กล่าวโต้ผ่านช่องทางยูทูบ (19 มีนาคม) ว่าเห็นลูกน้องที่โดนจับแล้วสงสารเขา ตนไม่มีปัญญาไปช่วย เขาเป็นคนดีมาก วันนี้โดนยัดข้อหาขนาดนี้ นี่คือความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นตลอดซ้ำแล้วซ้ำเล่าในเมืองไทย ไม่รู้ว่าโดนจับเข้าไปเขาจะโดนทำร้ายมากขนาดไหนในการที่จะให้เขาใส่ร้ายป้ายสีมาให้ตนให้ได้ ถ้าเป็นไปได้พี่น้องช่วยตามข่าวแทนตนด้วย ทั้งนี้ กองทัพไม่ต้องซื้ออาวุธหรอก ไปบุกบ้านไหนก็ของโกตี๋ เจออาวุธที่ไหนก็ของโกตี๋ โยงเข้าหาแม้กระทั่งวัดพระธรรมกาย บ้ากันไปใหญ่แล้ว อาวุธที่ค้นเจอนั้นยืนยันว่าไม่ใช่ของตนแน่นอน มีการจัดฉาก ต้องการเล่นงานเครือข่ายของตน ทั้งหมดตนห่วงอย่างเดียวคือ ห่วงความปลอดภัยของหัวหน้าการ์ด วันนี้เขาได้เสียสละแทนตนทั้งที่ไม่รู้เรื่อง ชีวิตตนไม่เคยมีบ้านเป็นหลัง นอนสถานีมาตลอด และออกจากเมืองไทยมา 3 ปีแล้ว อาวุธถ้ามีมากขนาดนั้นตนถล่มพวกเขาไปนานแล้ว ไม่เอาไว้หรอก นอกจากนี้ตนจะสะสมอาวุธไว้ทำไมในเมืองไทยที่ใจกลางเมืองขนาดนั้น จัดฉากไม่เนียนในการพยายามให้ตนเป็นคนก่อการร้าย

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงกรณีข่าวการลอบสังหารตนว่า ระมัดระวังตัวเป็นปรกติ ไม่ว่าจะมีข่าวการลอบสังหารหรือไม่ก็มีหน่วยรักษาความปลอดภัยอยู่แล้ว แต่ก็ห่วงในการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนเรื่องการลอบทำร้ายผู้นำ รวมถึงการจับอาวุธสงครามที่ต้องให้มีการตรวจสอบจับกุมตามขั้นตอน

“ผมเปิดดูในโซเชียลมีเดีย หลายคนบอกต้องตาต่อตา ฟันต่อฟัน ไม่ต้องสนใจใคร ต่างชาติไม่ต้องคำนึงถึง ถ้าทำแบบนั้นเราอยู่ไม่ได้ เราจึงต้องทำตามกฎหมายและพันธะสัญญาให้มากที่สุด ใช้มาตรา 44 เท่าที่จำเป็น เพราะหลายอย่างมีความขัดแย้งสูง และเราอยู่ในสถานะแบบนี้ ถ้าไปฝ่าฝืนกฎสากลมากๆก็จะเป็นปัญหา อย่าคิดว่ามีอำนาจมากแล้วทำอะไรได้ทั้งหมด” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

“จัดฉาก” หรือ “ไม่จัดฉาก”?

กรณี “โกตี๋” จะเป็นการจัดฉากหรือไม่นั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีความหมายไม่น้อยกับสถานการณ์ทางการเมือง เพราะมีการดึง “โกตี๋” ไปเกี่ยวโยงทั้งวัดพระธรรมกายและการลอบสังหาร พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งมีคำถามตามมามากมายว่า “โกตี๋” และเครือข่ายมีความสามารถมากขนาดนั้นจริงหรือ? อย่างไรก็ตาม ข่าวการลอบสังหารผู้นำนั้นมิได้เกิดขึ้นเฉพาะปัจจุบัน ในอดีตสมัยรัฐบาลทักษิณก็มีข่าวเรื่องการลอบสังหารโดยใช้ “คาร์บอมบ์” ก่อนเกิดรัฐประหารเดือนกันยายน 2549 โดยพบระเบิดที่ซุกไว้ในรถปริมาณมหึมาที่อาจทำลายล้างย่านบางพลัดได้ทั้งแถบ และมีการจับผู้ต้องสงสัยได้ แต่สุดท้ายสื่อหลายสำนักก็สามารถบรรจุคำว่า “คาร์บ๊อง” แทนคำว่า “คาร์บอมบ์” มาแล้ว จึงไม่แปลกที่จะมีคนสงสัยว่าเหตุการณ์ครั้งนี้อาจเป็นการ “จัดฉาก” หรือไม่ ข้อเท็จจริงก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่วาทกรรมบนโลกข่าวสารก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง จึงเกิดทรรศนะมากมายตามมา

นายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมจึงจับกุมช่วงที่รัฐบาลกำลังผลักดันบรรยากาศความปรองดอง แต่กลับมีการใช้วิธีการเดิมๆ ซึ่งการแถลงพบอาวุธสงครามจำนวนมากมีความเป็นไปได้ต่ำมากที่จะเป็นไปได้ เพราะบุคคลที่ลี้ภัยการเมืองนับตั้งแต่ คสช. ยึดอำนาจเกือบ 3 ปี คงไม่มีศักยภาพครอบครองและสรรหาอาวุธสงครามได้มากขนาดนั้น

แม้จะพยายามอ้างว่าเสื้อแดงปล้นอาวุธตอนปี 2553 แต่ก็เกิดจากการป้องกันอันตรายที่จะมีการสลายการชุมนุมและไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ ถ้าหากมีอาวุธมากขนาดนี้ ทำไมตลอด 3 ปีที่ผ่านมา จึงไม่ก่อเหตุต่อต้านคัดค้านรัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจ แต่กลับเก็บไว้รอให้ถูกจับ

นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด นักกิจกรรมทางการเมือง ตั้งคำถามว่า การตรวจค้นที่ให้ข่าวเชื่อมโยงถึง “โกตี๋” แต่ “โกตี๋” บอกว่าไม่ใช่บ้านของเขา รวมถึงการให้ข้อมูลของเจ้าหน้าที่ที่ไม่ครบถ้วน เช่น อาวุธปืนที่พบ บอกว่าเป็นปืนชนิดใดหรือไม่ หากเป็นบีบีกัน เป็นบีบีกันทั้งหมดด้วยหรือไม่ สังคมจึงเกิดความสับสน ส่วนที่พยายามเชื่อมโยงว่าเกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกายนั้น ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง แต่ยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกแย่ว่าการดำเนินการครั้งนี้อาจหวังผลทางการเมือง

ทหารวิสามัญฆาตกรรม “ชัยภูมิ ป่าแส”

ประเด็นการใช้อำนาจรัฐและความรุนแรงที่อาจดูเหมือนเป็นเรื่องปรกติของผู้มีอำนาจแต่วันนี้กำลังเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลกคือ กรณีเมื่อวันที่ 17 มีนาคม เจ้าหน้าที่ทหารร้อย ม.2 บก.ควบคุมที่ 1 ฉก.ม.5 ประจำจุดตรวจบ้านรินหลวง รายงานว่า ตรวจค้นรถยนต์ฮอนด้าพบยาบ้า 2,800 เม็ดซ่อนอยู่ในกรองอากาศ จึงจับกุมคนขับรถ ส่วนผู้ที่นั่งข้างคนขับวิ่งหนี เจ้าหน้าที่ทหารวิ่งติดตามใกล้ถึงตัว บุคคลดังกล่าวได้เงื้อระเบิดในมือจะขว้างใส่ ทหารจึงใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 ประจำกายยิงป้องกันตัว 1 นัด เป็นเหตุให้เสียชีวิตที่เกิดเหตุนั้น

ปรากฏว่าผู้เสียชีวิตคือ นายชัยภูมิ ป่าแส หรือ “จะอุ๊” ซึ่งเป็นเยาวชนนักกิจกรรมเชื้อสายชาวเผ่าลาหู่ อายุ 17 ปี เป็นนักแต่งเพลง และเคยได้รับรางวัลดีเด่นจากการผลิตหนังสั้นเรื่อง “เข็มขัดกับหวี” เป็นตัวแทนเครือข่ายเยาวชนต้นกล้าจังหวัดเชียงราย เคยเข้าร่วมโครงการ “เด็กและเยาวชนส่งเสียงเพื่อสื่อสารสังคม” ของมูลนิธิส่งเสริมสื่อเด็กและเยาวชน สถาบันสื่อเด็กและเยาวชน (สสย.)

นอกจาก “จะอุ๊” เป็นนักกิจกรรมที่รักใคร่ของชุมชน เป็นคนมีบุคลิกร่าเริง ชอบให้ความช่วยเหลือแก่สมาชิกชุมชนแล้ว “จะอุ๊” ยังให้ความบันเทิงแก่เด็กๆในชุมชนเป็นนิจศีล จึงเป็นที่กังขาของคนที่รู้จักและเคยสัมผัสว่า การวิสามัญฆาตกรรม “จะอุ๊” โดยทหารครั้งนี้ “กระทำเกินกว่าเหตุ” หรือ “ลุแก่อำนาจ” หรือไม่?

“ใบตองแห้ง” คอลัมนิสต์ชื่อดัง ตั้งคำถามผ่านทางเฟซบุ๊คว่า เรื่องนี้ฟังไม่ขึ้นอย่างยิ่ง “ระเบิดมันต้องถอดสลักนะครับ ถ้าถอดสลักแล้วจะขว้างใส่ทหาร ทหารยิงมันก็ต้องตกลงมาระเบิดตูม นี่แปลว่ากำลังจะปาระเบิดทั้งที่ไม่ถอดสลัก มีด้วยเรอะ”

ขณะที่สังคมออนไลน์ต่างแชร์ข้อความรำลึกและอาลัยนายชัยภูมิกันอย่างกว้างขวาง เช่น Maitree Savelahu บอกว่า “เกลียดกระบอกปืนที่ทำลายความฝัน ทำลายชีวิต”

Pornsuk “Pim” Koetsawang เท้าความถึงบิลลี่ที่ถูกทำให้หายไปเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2557 จนวันนี้ทุกอย่างยังดำมืดว่า “17 มีนาคม 2560 จะอุ๊ถูกปลิดชีวิตด้วยวิสามัญฆาตกรรมอันมีเงื่อนงำ…ทั้งสองครั้งฉันรับรู้ความรู้สึกและรับทราบคำถามที่เกิดขึ้นในหัวสมองหมู่น้องๆที่ร่วมอยู่ในโครงการเกี่ยวก้อย บิลลี่ดูแลน้องด้วยนะ”

คะติมะ หลี่จ๊ะ ตัวแทนเครือข่ายชนเผ่าพื้นเมือง ระบุว่า ชัยภูมิเป็นเด็กเรียนดีและไม่เคยข้องเกี่ยวกับอบายมุขใดๆ จึงอยากให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้กระจ่าง หรือเด็กๆที่แห่เขียนจดหมายถึง “พี่ชัยภูมิ” ว่าชาติหน้าขอให้เป็นพี่น้องกันอีก ไม่แคร์แม้ทหารโยนข้อหามียาเสพติดในครอบครอง-อาวุธสงคราม-ขัดขืนการจับกุม

กรณีทหารยิงวิสามัญฆาตกรรมเด็กชายที่ทำกิจกรรมตั้งแต่อายุ 9 ขวบจนถึงอายุ 17 ปี ทั้งทำกิจกรรมเพื่อสิทธิของชาวลาหู่ที่เกิดบนผืนแผ่นดินไทย รวมถึงการต่อต้านการค้ายาเสพติด แต่กลับถูกวิสามัญว่าค้ายาเสพติด จึงอาจบานปลายได้ เพราะเกิดคำถามตามมามากมาย ยิ่งได้ฟัง พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษก คสช. ยืนยันว่า การใช้ปืนเอ็ม 16 ฆ่าชัยภูมิ ป่าแสง ถูกต้องแล้ว โดยระบุว่า ทหารผู้ก่อเหตุวิสามัญฯยืนยันว่าชัยภูมิเตรียมขว้างระเบิดก่อน ในขณะที่ในโซเชียลตั้งคำถามว่าเด็กเขวี้ยงระเบิดได้ไงถ้าไม่ถอดสลัก จึงต้องยอมรับว่ามีคนจำนวนไม่น้อยไม่เชื่อว่ามีระเบิดจริง

นอกจากนี้ยังมีการเปิดปม “คดีทุ่งยางแดง” คดีวิสามัญฆาตกรรมประชาชนจำนวน 4 ศพ ที่บ้านโต๊ะชูด ตำบลพิเทน อำเภอทุ่งยางแดง จังหวัดปัตตานี ที่ถูกยัดข้อหามีอาวุธสงครามก่อนถูกวิสามัญฯมาแล้ว

ปมทหารฆ่าเด็กกลุ่มรักษ์ลาหู่ที่ใช้วัฒนธรรมต้านยาเสพติดจึงยังจะไม่จบง่ายๆหากไม่มีการชันสูตรและสอบสวนว่าผิดอย่างที่ถูกกล่าวหาจริงหรือไม่

เครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย (คชท.) พร้อมด้วยเครือข่ายภาคประชาชน 31 เครือข่าย ได้ออกแถลงการณ์ประณามการวิสามัญฆาตกรรมชัยภูมิว่า เป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ ป่าเถื่อน ไร้มนุษยธรรม นอกจากนี้ยังเรียกร้องต่อ พล.อ.ประยุทธ์และองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงครั้งนี้โดยเร่งด่วน

ล่าสุด นางอังคณา นีละไพจิตร กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กล่าวว่า ที่ประชุม กสม. มีมติรับกรณีนายชัยภูมิไว้ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว โดยจะเรียกเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งข้อมูลการจับกุมรวมถึงข้อมูลการชันสูตรศพมาตรวจสอบ เพราะคดีนี้ทำให้เกิดความรู้สึกไม่เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะการปฏิบัติต่อกลุ่มชาติพันธุ์ ทั้งเรียกร้องให้ตำรวจคุ้มครองนายพงศ์นัย แสงตะล้า ที่อยู่ในเหตุการณ์ในฐานะพยาน ไม่ใช่ผู้ต้องหา

กาลเวลาผันผ่าน “อภินิหาร” มิเคยเปลี่ยน

เกือบ 3 ปีภายใต้อำนาจรัฏฐาธิปัตย์ที่มาจากการรัฐประหาร แม้บ้านเมืองจะสงบเงียบ แต่กลับไม่ได้เงียบสงบ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมามีการกล่าวหาดำเนินคดี จับกุมคุมขัง และไล่ล่าผู้เห็นต่างอย่างเข้มข้น แม้รัฐบาลทหารประกาศว่าจะต้องสร้างความสามัคคีปรองดองให้สำเร็จ แต่ในทางตรงข้ามกลับมีการไล่ล่าและกล่าวหาผู้มีความเห็นต่างอย่างไม่ลดละ ไม่ใช่แค่แกนนำหรือนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามที่โดน แต่ยังขยายวงไปถึงระดับชาวบ้านและชาวดอย

นอกเหนือจากอำนาจรัฏฐาธิปัตย์ที่ถือว่าอยู่เหนือยิ่งกว่ารัฐธรรมนูญที่ฉีกทิ้งได้ง่ายๆแล้ว ยังกระทบไปถึงการใช้อำนาจตุลาการซึ่งเป็นอำนาจที่พึ่งสุดท้ายของประชาชนอีกด้วย

นายสุธาชัยได้กล่าวถึงปัญหาสำคัญที่มาจากการรัฐประหาร 2 ครั้งที่ผ่านมาว่า คือความเสียหายของสถาบันศาล ซึ่งมี 3 ประเด็นสำคัญคือ 1.การตัดสินนอกตัวบทกฎหมาย แต่ใช้การตีความตามอำเภอใจ 2.การนำเอาสถาบันศาลไปรับรองความชอบธรรมของการรัฐประหารและคำสั่งทั้งหลายของคณะรัฐประหาร และ 3.การใช้กระบวนการยุติธรรมแบบสองมาตรฐานอย่างชัดเจน

น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เขียนถึงการใช้อำนาจของผู้มีอำนาจในคอลัมน์ “ประสงค์พูด” โดยกล่าวถึง “วิธีการใช้อำนาจ” ของคนมีอำนาจทั้งสิ้นว่า อำนาจที่ใช้นั้นเป็นอย่างไร คนที่ใช้อำนาจเป็นนั้นจะเป็นคนที่รู้จักตัวเอง และคนที่รู้จักตัวเองจะไม่สำคัญตนผิด

“ความขาดแคลนที่สำคัญมากอย่างหนึ่งที่คนไม่ค่อยจะได้คิดกันก็คือ ความขาดแคลนในการรู้จักตนเอง ซึ่งความขาดแคลนอย่างนี้แหละที่ทำให้สำคัญตนผิด เป็นคนที่ชอบยกตนข่มผู้อื่นเสมอ จะทำให้เป็นคนลืมตัวไปได้ง่ายๆ คนที่ลืมตัวนั้นมักจะแสดงอะไรๆอย่างผิดๆทั้งท่าทางและคำพูด ทำให้กลายเป็นคนขาดสติไปได้ง่ายๆจนเกิดความประมาท ใครมีความประมาทคนนั้นไม่รู้จักตนเอง เพราะสำคัญตนผิดคิดว่าไม่มีใครทำอะไรตนได้ คนประเภทนี้บั้นปลายแล้วชีวิตจบไม่สวยสักราย”

การใช้อำนาจเป็นความชอบธรรมหรืออำนาจเป็นใหญ่ โดยไร้หลักนิติรัฐ นิติธรรม อย่างไร้คุณธรรม แต่กลับเต็มไปด้วย “อคติลำเอียง” หรือเลี่ยงไปใช้คำว่า “อภินิหารทางกฎหมาย” กำลังก่อให้เกิดความแตกแยกร้าวฉานหนักหนาสาหัสกว่าครั้งใดๆในอดีต ถ้าคนไทยไม่ตั้งสติและช่วยกันดึงคนที่เสียสติให้กลับมาครองสติให้ได้ เชื่อว่า “ความวิบัติฉิบหาย” จะบังเกิดไปทั่วฟ้าจรดดิน

เหตุใดเหตุการณ์ในอดีตจึงมิได้ถูกนำมาใช้เป็นบทเรียนเพื่อแก้ไขป้องกันสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต เหตุใดสังคมไทยจึงไม่เรียนรู้จากอดีตที่เจ็บปวด..

เหตุใดกาลเวลาผันผ่าน.. แต่ “อภินิหาร” กลับมิเคยแปรเปลี่ยน!!??


You must be logged in to post a comment Login