วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2567

คณะรัฐประหารก็คือนักการเมือง / โดย ประชาธิปไตย เจริญสุข

On March 13, 2017

คอลัมน์ : ฟังจากปาก
ผู้เขียน : ประชาธิปไตย เจริญสุข

นายชำนาญกล่าวถึงภาพรวมของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ขณะนี้ว่า หมดระยะฮันนีมูนไปแล้ว เพราะกองเชียร์เริ่มบ่น เริ่มสงสัย เริ่มถูกรังแก ถูกจัดการ อย่างกรณีโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่หลายคนที่ออกมาต่อต้านถูกจับ ซึ่งเป็นพวก กปปส. (คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็น ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข) และพวกที่เคยเรียกร้องให้มีการรัฐประหาร ล่าสุดคะแนนความนิยมของรัฐบาล คสช. ลดลงเกือบทุกเดือน

เป็นธรรมชาติของการเมือง ไม่ว่าที่ไหนอยู่นานเข้าคนก็เบื่อ แต่ของ คสช. เบื่อไวกว่าคนอื่นหน่อย เพราะคนเริ่มรู้ว่าจริงๆแล้ว คสช. ไม่ได้เลือกเสื้อเหลืองหรือ กปปส. หรือมุ่งหวังจัดการกับแดง แต่ คสช. ไม่เอาทั้ง 2 ฝ่ายไม่ว่าจะสีไหน และไม่ต้องการให้ใครมามีอำนาจแข่ง ไม่มีขั้วต่อรองอะไร ต้องการกุมอำนาจแต่เพียงผู้เดียว สิ่งที่ทำให้เห็นบทเรียนได้เด่นชัดคือ ปรกติระบบทุนก็มีความโหดร้ายในตัวมันเองอยู่แล้ว แต่อย่างน้อยที่สุดทุนในระบอบประชาธิปไตยยังตรวจสอบถ่วงดุลได้ ขอดูข้อมูล เรียกร้อง ต่อต้าน คัดค้านอะไรได้ แต่ทุนมาผสมกับเผด็จการหรือทุนผสมกับรัฐประหารทำให้รู้ว่ามันโหดและร้ายแรงมาก

ส่วนในอนาคตจะเป็นอย่างไร ผมคิดว่าคงยื้อกันไปอย่างนี้ เพราะพลังต่อรองหรือพลังมวลชนอ่อนแรง นอกจากนี้พรรคการเมืองก็ไม่เข้มแข็ง ไม่เคยเข็ด อย่างพรรคเพื่อไทยถูกกระทำย่ำยีขนาดนี้แล้วยังไปเจรจาอะไรต่ออะไร หวังเพียงลึกๆว่ามีโอกาสเลือกตั้งแล้วจะได้ ส.ส. เข้ามา แม้ว่าจะไม่มีโอกาสชนะเด็ดขาดก็ตาม แต่มีความหวังว่าจะชนะมากกว่าพรรคการเมืองอื่น ผมคิดว่าพวกนี้น่าจะมีประสบการณ์ที่เจ็บ และน่าจะจำ น่าจะให้บทเรียนว่าถ้าเรายังขึงขัง ยังต่อต้าน ความปรองดองมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ปรองดองโดยไม่มีการนิรโทษกรรม ปรองดองโดยไม่มีการค้นหาความจริง ปรกติปรองดองที่ทั่วโลกทำกันมาเขาเรียกว่า “ความเป็นธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน” ไม่ว่าจะเป็นรวันดา แอฟริกาใต้ ติมอร์ ศรีลังกา จะมีสูตรอยู่ 4 อย่างประกอบกัน

1.การค้นหาความจริง ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องฟื้นฝอยหาตะเข็บ แต่เพียงให้รู้ว่าใครทำอะไร เกิดอะไรขึ้นกับเขา เสร็จแล้วก็มีการเยียวยา ชดเชย ชดใช้ อาจจะเป็นในแง่ของเงินทอง 2.การขอโทษ ขออภัย อะไรต่างๆนานา 3.การสอบสวนดำเนินคดี เรียกว่าเอาคนผิดมาลงโทษอะไรก็แล้วแต่ และสุดท้ายคือ การปฏิรูปสถาบัน ต้องรู้ว่าองค์กรไหนที่ทำให้เกิดปัญหาทั้งหมดทั้งปวง เพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ประเทศต่างๆมีบทเรียน เราน่าจะเอาบทเรียนจากเขามาดู ไม่ได้หมายความว่าจะต้องฆ่าฟันกันให้ตายไปข้างหนึ่ง

อย่างเกาหลีใต้ ประธานาธิบดีชุน ดู-ฮวาน โรห์ แต วู เขาก็เอาคนผิดมาขึ้นศาล เสร็จแล้วศาลตัดสิน โดยศาลชั้นต้นจะประหารด้วยซ้ำไป แต่ศาลสูงสุดตัดสินติดคุกปีกว่าๆ เขาก็ให้อภัยกัน หมายถึงไม่ค้างคาใจกัน เช่นเดียวกับคนไทย ถ้าทำกันอย่างนี้ก็เหมือนซุกขยะไว้ใต้พรม ทำเป็นพิธีการ เป็นรูปแบบเฉยๆ เป็นแค่แก้ผ้าเอาหน้ารอดผ่านไปวันๆเท่านั้นเอง ไม่มีผลอะไรเกิดขึ้น ถือเป็นเคราะห์กรรมของคนไทยถ้าเป็นอย่างนี้ ผมคิดว่าอนาคตก็อยู่กันอย่างนี้แหละ อยู่กันไป รัฐธรรมนูญใหม่ก็รอประกาศใช้ ซึ่งไม่ได้ดีกว่ารัฐธรรมนูญปี 2550

อย่างไรก็ตาม ผมมีความเชื่อว่าประเทศไทยเราเคยเสพ เคยลิ้มลองรสชาติของประชาธิปไตยมาแล้ว คนก็ยังติดใจในสิ่งที่หอมหวานอยู่ แม้ว่าสำนึกอาจไม่แรงพอถึงขนาดมาต่อต้านอะไรพวกนี้ เมื่อคนเราเคยแล้ว มันก็เหมือนนาฬิกา ตอนนี้คณะรัฐประหารหมุนนาฬิกากลับใช่มั้ย พอหมุนเสร็จ พอเสียบปลั๊กเข้าไปใหม่ก็ต้องเดินหน้าอย่างเดียว ไม่มีนาฬิกาไหนถอยหลังหรอก ต้องเดินไปเรื่อยๆ บางทีอาจจะไว บางทีก็ช้า แต่ผมเชื่อว่าน่าจะกลับมาไว เพราะคนเราจิตสำนึก ความตื่นตัวทางการเมืองเยอะ ตอนนี้ไม่เชื่อไปดูตลาดร้านค้าต่างๆ หรือรถสี่ล้อ รถแท็กซี่ เขาไม่ค่อยคุยกันแล้วเรื่องละครน้ำเน่า เขาคุยเรื่องการเมือง ที่สำคัญเป็นการเมืองลึกๆ ซึ่งบางทีสื่อกระแสหลักไม่กล้าลงด้วยซ้ำไป แสดงว่าสมัยนี้คนเราตื่นตัวมาก แต่ที่มันเกิดการปะทะอะไรต่างๆ เพราะคนเราไม่มีระบบการควบคุม ไม่มีระบบการจัดการความขัดแย้งที่ดี

ผิดหวังปฏิรูปตำรวจมากที่สุด

ผมไม่เคยหวังผลงานของรัฐบาล คสช. เพราะในมุมมองผมรัฐประหารไม่เคยแก้ปัญหาอะไรได้เลย มีแต่จะเพิ่มปัญหาและยิ่งทำให้ถอยหลังไปมาก คนส่วนใหญ่มีความมุ่งหวังว่าจะใช้อำนาจเด็ดขาดในการปฏิรูปอะไรหลายๆอย่าง ซึ่งก็ไม่ได้ทำอะไร ยกตัวอย่างการปฏิรูปตำรวจที่หลายคนเชื่อว่าในสภาวะปรกติทำไม่ได้หรอก แต่สถานการณ์ปัจจุบันก็ยิ่งไม่ทำอะไรเลย ยิ่งแย่หนักไปกว่าเดิมอีก มีการฟ้องร้องนักวิชาการที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีตำรวจไว้ทำไมเรื่องคอร์รัปชัน และคนที่มาวิจารณ์ก็มีรองอธิบดีกรมตำรวจด้วยที่ถูกแจ้งความดำเนินคดี

ความจริงน่าจะเปิดใจฟังพร้อมแก้ปัญหาและชี้แจงดีกว่าไปดำเนินคดี ผมคิดว่าไม่น่าจะถูกต้อง ในส่วนของผมที่น่าผิดหวังมากที่สุดคือเรื่องตำรวจ อันที่ 2 เรื่องเศรษฐกิจ มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว จะไปสั่งอะไร ทหารไม่ได้เรียนเรื่องเศรษฐศาสตร์ มีแต่ใช้มาตรา 44 ไปเอื้ออะไรหลายๆอย่าง มีแต่ทุนที่ได้เปรียบ เศรษฐกิจพิเศษพวกทุนก็ได้เปรียบไป ขยายเวลาเช่าอะไรออกไป คอร์รัปชันนึกว่าอำนาจเด็ดขาดจะได้ผล ปรากฏว่ายิ่งพันกันไปมา โยงกันไปหมด แถมปัญหาคอร์รัปชันหนักกว่าเดิมด้วย ผมไม่ได้มองในแง่ร้าย มีคนถามผมว่าส่วนดีของ คสช. ไม่มีอะไรบ้างหรือ ผมคิดว่าส่วนดีคงเป็นเรื่องความตั้งใจ แต่ไม่รู้ตั้งใจยังไงก็แล้วแต่ วิธีการมันอาจจะผิด แต่ตั้งใจแบบสมัยก่อนฮิตเลอร์มีคนอยู่ 3-4 ประเภท ฉลาดแล้วขยัน ฉลาดแล้วขี้เกียจ โง่แล้วขี้เกียจ กับโง่แล้วขยัน ประเภทที่ 4 เขาไม่เอา เขาเอาไปฆ่าทิ้งหมด เพราะทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย

ถามว่าคะแนนความนิยมของ คสช. จะลดลงเรื่อยๆหรือไม่ ผมคิดว่าระยะเวลาที่ผ่านมา คสช. มีปัญหาอย่างเดียวคือ เขาจะต่อสู้ เขาพยายามสยบแรงคัดค้าน แรงต่อต้านจากข้างล่าง จากเพื่อนข้าราชการอะไรก็แล้วแต่ที่เขาคิดว่าเขาอยู่ไม่นาน แต่ตอนนี้แรงต้านจากประชาชนก็น้อย ข้าราชการเขารู้ว่าอย่างน้อยที่สุดปี 2560 ไม่มีเลือกตั้งแน่ๆ ก็เอาพวกใส่เกียร์ว่างอะไรบ้าง ต่อไปจะเป็นช่วงที่ คสช. เจอแรงกดดัน เรียกว่าข้างบนก็เจอ ด้านข้างก็เจอ ด้านล่างเจอเพิ่มมากกว่าเดิม ต่อไป คสช. คงไม่สามารถตั้งอะไรตามใจได้ทั้งหมด ตัวอย่างที่เห็นชัดคือ เรื่องรัฐธรรมนูญ ผมพูดมากกว่านี้คงไม่ได้ แต่คิดว่าเขาต้องเจอปัญหาเยอะกว่าเดิม ซึ่งจะส่งผลให้ทำงานยากกว่าเดิมด้วย

การสร้างความปรองดอง

ผมคิดว่า คสช. ไม่มีทางประสบความสำเร็จ แถมผิดทางด้วยซ้ำไป ถ้าสำเร็จทั่วโลกเขาคงทำหมดแล้ว ทั่วโลกมีตัวอย่างมาหมดแล้ว เขาทำวิธีการอย่างที่ผมบอกข้างต้น ยิ่งมาทุบโต๊ะคุยกัน ไม่ให้คุยเรื่องนิรโทษกรรม ไม่ให้คุยเรื่องแก้กฎหมาย แล้วจะไปคุยเรื่องอะไร ไม่มีทางหรอก อยู่มาตั้ง 3 ปีทำไมไม่ทำ ทำไมเพิ่งมาทำตอนนี้ ที่มาทำตอนนี้ผมคิดว่าน่าจะเจอแรงกดดัน แรงบีบที่มีมาก อีกอย่างหนึ่งถือเป็นการฉวยจังหวะว่าถ้าทำได้จะเป็นผลงานชิ้นโบแดง คือเอาพรรคการเมืองต่างๆมาคุยกันเพื่อขอให้สงบปากสงบคำ ยื่นการบ้านให้ 10 ข้อ ความจริงปัญหาบ้านเมืองไม่ได้มีแค่ 10 ข้อ มันเยอะกว่านั้น เห็นภาพสงบเสงี่ยมแล้วบอกว่าพรรคการเมืองเชื่องแล้ว ไม่มีทางหรอก นักการเมืองก็คือนักการเมือง ผมยอมรับและไม่ปฏิเสธว่าที่ผ่านมาปัญหาส่วนหนึ่งมาจากนักการเมือง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด นักการเมืองเป็นส่วนหนึ่งเท่านั้นเอง ปัญหาเกิดจากความเชื่อทางการเมือง ช่องว่างทางเศรษฐกิจ ความอยุติธรรมที่ฝ่ายหนึ่งทำอะไรก็ผิด อีกฝ่ายหนึ่งทำอะไรก็ไม่ผิดอะไรอย่างนี้ คนหนึ่งมีที่ดินเป็นหมื่นเป็นแสน ไร่ อีกคนไม่มีแม้แต่ที่ซุกหัวนอน มันเห็นชัดเจน

เรื่องทุจริตคอร์รัปชัน ฝ่ายหนึ่งถูกลงโทษ อีกฝ่ายหนึ่งไม่ถูกก็เห็นอยู่ คนไม่ได้กินแกลบกินรำมันคิดได้ทั้งนั้นแหละ ส่งผลให้ความไม่พอใจเป็นไฟสุมขอน ผมว่า คสช. เหนื่อยนะ ต้องเปลืองตัวแล้ว เมื่อตัดสินใจทำอะไรก็ต้องรับผิดชอบผลแห่งการกระทำของตนเอง การสร้างความปรองดองสูตรของ คสช. เกิดยาก เพราะไม่มีใครทำกัน มีแต่จะสร้างความขัดแย้งแตกแยก ซึ่งตัวแตกแยกมากๆคือพรรคการเมืองที่ไปสยบยอม คสช. นั่นแหละจะได้รับการปฏิเสธจากประชาชน เพราะญาติ พ่อแม่ พี่น้อง และลูกที่ถูกยิงตาย เขาจะคิดยังไง บอกให้ลืมอดีต เป็นไปได้ยังไง เป็นไปไม่ได้ ควรให้รู้ว่าอดีตคืออะไรและให้อภัยกัน อย่างนั้นดีกว่า

ทางออกสร้างความปรองดอง

คืนความยุติธรรม ทำอะไรให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ไม่ต้อง 100 เปอร์เซ็นต์ ต้องดำเนินการตาม 4 ขั้นตอนอย่างที่ผมว่าคือ ค้นหาความจริง เยียวยา ดำเนินการสืบสวนดำเนินคดี และปฏิรูปสถาบันที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นทหาร ตำรวจ สื่อมวลชน ซึ่งสื่อมวลชนก็มีส่วนสร้างกระแสให้คนเกลียดชังกัน ยุให้คนไปฆ่ากันได้ยังไง อย่างเรื่องธรรมกาย ผมไม่เคยเห็นด้วยกับแนวความคิด แนวคำสอนของธรรมกาย แต่การจัดการมันไม่ถูก เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนา คนเขาเชื่อก็เชื่อไป มหานิกาย เถรวาท เขาทะเลาะกันมาตั้งนานแล้วก็ไม่มีอะไรรุนแรง สันติอโศกก็อยู่ของเขามา ตอนนี้กลายเป็นเรื่องธรรมกายกับพุทธะอิสระไป ใช้กำลังเข้าจับกุม ไล่คนออกจากวัดอย่างนี้ เขาบวช เขาอยู่มาเกือบทั้งชีวิตจะให้เขาไปอยู่ที่ไหน อย่าลืมว่าธรรมกายมีสาขาตั้ง 84 สาขาทั่วโลก แม้จะยึดที่คลองหลวงได้ แต่ที่อื่นยังอยู่ มันเป็นเรื่องความเชื่อ เห็นกำลังทหาร กำลังต่างๆเข้าไปบุกสาธารณสถาน คนทั่วโลกเขามองว่าแรงกว่าไปทำกับพลเรือนธรรมดาอีก อันนี้ต้องแก้

การบุกธรรมกายผมพูดตลอดว่าเป็นการเมือง 100 เปอร์เซ็นต์ คสช. เข้ามาดำเนินการในครั้งนี้ผมคิดว่าคงเข้าตาจนเหมือนกัน เพราะเคยบุก 2 ครั้งแล้วทำอะไรไม่ได้ ทำให้กองเชียร์มองว่าไม่มีน้ำยา ดังนั้น เขาจึงต้องทำ ไม่มีวิธีการอื่น เพราะเขาคิดอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ ต้องใช้มาตรา 44 สามัญประจำบ้าน ซึ่งก็ไม่ได้ผล มาตรา 44 ออกมาเป็นร้อยๆฉบับ ห้ามปล่อยโคมลอย โคมไฟ เขาก็ทำกันอยู่

คำสั่งมันไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์ เขามองว่าอาณาจักรไปแทรกแซงศาสนจักรมากกว่า ซึ่งในอารยประเทศเขารับไม่ค่อยได้ ผลกระทบมากที่สุดเรื่องธรรมกายคือความปรองดอง แล้วจะปรองดองกันอย่างไรเมื่อสาวกของธรรมกายจำนวนนับล้านคนในประเทศไทย รวมทั้งทั่วโลกอีก ทางที่ดีที่สุดคือ คสช. ทำตามโรดแม็พให้ไวที่สุด ดีที่สุด ยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชน คนทั่วโลกกำลังดูอยู่ จริงอยู่รัฐเราเป็นรัฐเอกราช มีอธิปไตยก็จริง แต่การละเมิดสิทธิมนุษยชนไม่เป็นที่ยอมรับก็จะกระทบต่อเศรษฐกิจตามมา อย่าลืมว่าคนไม่มีจะกิน ปากท้องมันมาก่อน การปลดคนงานอะไรต่างๆ ถ้าคนไม่เชื่อมั่น ไม่เชื่อถือ ไม่ว่ารัฐบาลจากการรัฐประหารหรือการเลือกตั้งก็อยู่ไม่ได้ ปืนก็กดได้ชั่วครั้งชั่วคราว นานๆก็ไม่ไหวหรอก สถานการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนี้สะท้อนให้เห็นว่า คสช. กำลังเข้าสู่จุดอับทางการเมือง ทั้งสะท้อนให้เห็นว่าการยึดอำนาจแก้ปัญหาไม่ได้ อำนาจต้องมีการตรวจสอบถ่วงดุล ประชาธิปไตยถึงจะช้าแต่ก็มั่นคง ประชาธิปไตยไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด แต่เป็นสิ่งที่เลวน้อยที่สุด คนพูดมาเยอะแล้วว่าเผด็จการไม่เคยแก้ปัญหาได้ ถ้าแก้ได้ทั่วโลกเขาทำหมดแล้ว ตอนนี้ไปเปิดวิกิพีเดียดูจะพบว่าประเทศเดียวในโลกที่ปกครองโดยรัฐบาลทหารคือประเทศไทย เราไม่อายเขาหรือ ไปที่ไหนถูกแอนตี้จากทั่วโลก นักศึกษาได้ทุนมาเขาก็ไม่ให้

โอกาสเกิดรัฐประหารซ้อน

มันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ขนาดจอมพลถนอม กิตติขจร ยังรัฐประหารตัวเองเลย อยู่ดีๆจอมพลถนอมก็ทำตัวเอง เพราะดูอึดอัดขัดข้องไปหมด เลยทำรัฐประหารรัฐบาลตัวเอง ถามว่าโอกาสเกิดมีหรือไม่ มีแต่มากน้อยเท่าไรไม่รู้ อยู่ที่การจัดสรรอำนาจ ซึ่งการเมืองเป็นเรื่องการจัดสรรอำนาจ คณะรัฐประหารก็คือนักการเมืองดีๆ อย่าปฏิเสธเลยว่าไม่ใช่นักการเมือง เพียงแต่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งเท่านั้น ขอย้ำว่า คสช. เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองชัดเจน เพราะฉะนั้นโอกาสที่ คสช. จะทำรัฐประหารตัวเองก็มีอยู่เหมือนกัน ประกาศใหม่ ออกใหม่ เพราะอะไรมันติดขัดขัดข้องหมด อาจฉีกธรรมเนียมใหม่หมด ซึ่งเราก็คาดเดาไม่ได้ หรืออาจจะคณะใหม่ก็ได้ ตอนนี้เท่าที่ผมดู คสช. ก็หาทางลงอยู่ อยู่มา 3 ปีเขาคงเบื่อแล้ว หน้านิ่วคิ้วขมวดทุกวัน ลองไปถามหลายคนที่เป็น รสช. หรือ คมช. มีความสุขมั้ย ลองถาม พล.อ.สุจินดา คราประยูร อาจอยู่ได้ แต่มีความสุขที่ไหน

หากเกิดรัฐประหารซ้อนก็อาจเป็นกลุ่มอื่น ปฏิวัติซ้อนก็คือกลุ่มเดิมนั่นแหละ เขาอาจจะถ่วง จัดการอะไรต่างๆนานา อย่าลืมว่าคนถือกำลังจริงๆคือผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) สั่งเคลื่อนย้ายกำลังได้ นายกรัฐมนตรีเป็นผู้บังคับบัญชาแต่ก็สั่งอะไรมากไม่ได้ เพราะ ผบ.ทบ. คุมกำลังอยู่ อย่าง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน บอกว่าไม่ทำๆ ปรากฏว่าก็ทำรัฐประหารรัฐบาลคุณทักษิณ

เพราะฉะนั้นอำนาจทางการเมืองจะยังอยู่ในมือของกองทัพต่อไป ผมขอบอกว่าเป็นเคราะห์กรรมของประเทศไทย กว่าจะฟื้นได้ 10 ปีฟื้นหรือเปล่ายังไม่รู้เลย เพราะรัฐธรรมนูญมันล็อกไง ทำอะไรยาก การแก้รัฐธรรมนูญเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญถ้าไม่ได้รับฉันทานุมัติ ตั้งรัฐบาลก็มีสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) แต่งตั้งด้วย อย่างนี้เลือกตั้งไปแทบไม่มีประโยชน์อะไร ขอย้ำว่าสถานการณ์ของประเทศไทยขณะนี้ถือว่าแย่มาก ในศตวรรษนี้ไม่น่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม โดยจิตสำนึกของคนไทยมันเริ่มติดแล้ว คุ้นชินการเสพลองรสชาติประชาธิปไตย นาฬิกาหมุนกลับไปนานขนาดไหนก็ต้องเดินหน้าอยู่ดี ถ้ามีประสบการณ์เราอาจจะพลิกฟื้นหายจากอาการป่วยไข้ได้ไวขึ้น แต่ถ้าเกิดรัฐประหารซ้อน การเลือกตั้งที่คาดว่าจะมีขึ้นในปี 2561 ก็จบ ไม่ต้องทำอะไรกันแล้ว ขอให้ดูประเทศพม่าเป็นตัวอย่างแล้วกัน ถึงจะเลือกตั้งยังไง นางออง ซาน ซู จี ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว เป็นประธานาธิบดีก็ไม่ได้ คุมกำลังทหารไม่ให้รังแกประชาชนแบบโรฮิงญาก็ไม่ได้ ก็จะเป็นอย่างนั้นแหละ

บทบาทภาคประชาชน

ภาคประชาชนยังคงเดินหน้าเรียกร้องประชาธิปไตยอยู่ ต้องเปล่งเสียงออกมา อย่าเฉย ผมไม่ได้ยุให้ใช้ความรุนแรง ผมเคยเห็นด้วยให้ใช้ความรุนแรง การเดินขบวนก็ไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหา ประเทศไทยการเดินขบวนจะล้มรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร ดังนั้น ภาคประชาชนจะต้องแสดงออกทางการเมือง สื่อเอง รวมทั้งฝ่ายวิชาการก็ต้องช่วยส่งเสียงออกมา เขาจะจับคนเป็นแสนเป็นล้านเข้าคุกได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว สำหรับอนาคตของประเทศไทยยังไงสุดท้ายก็ต้องกลับไปหาประชาธิปไตย ขึ้นอยู่กับว่าจะช้าหรือเร็ว พม่าใช้เวลา 50 กว่าปี หวังว่าประเทศไทยคงไม่ต้องใช้เวลานานเหมือนพม่าก็แล้วกัน


You must be logged in to post a comment Login