วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2567

เผด็จการเต็มรูปแบบ! / โดย ประชาธิปไตย เจริญสุข

On March 6, 2017

คอลัมน์ : ฟังจากปาก
ผู้เขียน : ประชาธิปไตย เจริญสุข

นายสุณัยกล่าวถึงบรรยากาศด้านสิทธิมนุษยชนขณะนี้ว่า ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานที่จำเป็นต่อการฟื้นฟูประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นเสรีภาพการแสดงออก การแสดงความคิดเห็น การชุมนุม การสมาคม ที่สามารถเห็นต่าง เห็นแย้ง วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลได้อย่างอิสระและปลอดภัยก็ไม่มีเช่นกัน

สื่อมวลชนถูกควบคุมอย่างเข้มงวด ไม่ว่าจะเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อวิทยุ โทรทัศน์ แม้แต่สื่อออนไลน์ก็ถูกจำกัดจากคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ห้ามวิพากษ์วิจารณ์ แล้วยังออกมากำชับเป็นระยะๆอีกโดยผู้นำรัฐบาลหรือผ่านตัวแทนอย่าง กสทช. แทนที่ใกล้จะเริ่มนับหนึ่งเพื่อเตรียมการเลือกตั้งค่อยๆเปิดสังคมให้กว้างขึ้น เริ่มคืนพื้นที่ให้กับประชาชนในการแสดงความคิดเห็นให้กับพรรคการเมือง กลุ่มการเมืองต่างๆ กลายเป็นกระชับพื้นที่ ปิดกั้นอย่างเข้มข้น

บรรยากาศแบบนี้สำหรับฮิวแมน ไรท์ วอทช์ เรียกว่าเป็นการกระชับอำนาจของเผด็จการทหาร ถ้าเราดูภาพกว้างออกไป องค์กรสิทธิมนุษยชนอื่นๆก็รายงานตรงกันว่าสิทธิเสรีภาพในประเทศไทยขณะนี้ไม่ได้รับการฟื้นฟู ไม่ได้รับการส่งเสริมให้คืนกลับมาเลย เข้าสู่ปีที่ 3 คสช. สถานการณ์สิทธิมนุษยชนยังย่ำแย่ชนิดที่มองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เลย มันตกต่ำไปเรื่อยๆ การใช้อำนาจพิเศษอย่างมาตรา 44 เราถือว่าเป็นอำนาจที่ควบคุมไม่ได้ ตรวจสอบไม่ได้ ถ่วงดุลไม่ได้ เมื่อใช้อำนาจแล้วก็ไม่ต้องรับผิดใดๆ แล้วยังใช้อย่างกว้างขวางตามอำเภอใจ อยากใช้เรื่องอะไรก็ใช้

ล่าสุดใช้มาตรา 44 กับวัดพระธรรมกายที่เป็นประเด็นร้อนในสังคมตอนนี้ แทนที่จะใช้กลไกบังคับตามกฎหมายปรกติคือ ตามจับตัวคนที่มีหมายจับแล้วคลี่คลายคดีไปก็น่าจะทำได้ แต่กลับใช้มาตรา 44 เพื่อปิดล้อมวัด ตัดสัญญาณโทรศัพท์ สัญญาณอินเทอร์เน็ต ผมมองว่าจะกลายเป็นบรรยากาศเหมือนปี 2553 ที่ล้อมปราบคนเสื้อแดงที่ราชประสงค์ มีการบาดเจ็บล้มตาย จนถึงขณะนี้ก็ยังเอาผิดไม่ได้เลย

การใช้อำนาจตามมาตรา 44 ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่กฎหมายคุ้มกันอยู่ชั้นหนึ่ง การที่วัดพระธรรมกายร้ององค์การสหประชาชาติว่าถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนถือเป็นสิทธิของวัดพระธรรมกาย จะร้องเรียนองค์กรสิทธิมนุษยชนต่างๆหรือคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติของไทยให้มาตรวจสอบหรือสังเกตการณ์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการตัดสัญญาณโทรศัพท์ ผมบอกเลยว่าเป็นภาพที่ไม่ดีและน่ากังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งความทรงจำที่เกิดขึ้นในปี 2553 มีความพยายามจะตัดสัญญาณโทรศัพท์ในพื้นที่การชุมนุม ซึ่งครั้งนี้ลำดับเหตุการณ์คล้ายการใช้มาตรการที่ราชประสงค์

เราไม่อยากเห็นประวัติศาสตร์ซ้ำรอย มีการบาดเจ็บ มีการสูญเสียอีก เพราะฉะนั้นสิ่งที่ดีที่สุดคือ แต่ละฝ่ายต้องมีความรับผิดชอบร่วมกัน ฝ่ายรัฐควรใช้มาตรการหรือเครื่องมือที่โปร่งใส เหมาะสมแก่เหตุมากกว่านี้ มาตรา 44 เหมือนขับเฮลิคอปเตอร์จับตั๊กแตน มันผิดฝาผิดตัวอย่างมาก เป็นอำนาจที่ตรวจสอบไม่ได้ ควบคุมไม่ได้ เอาผิดไม่ได้ เครื่องมือแบบนี้ไม่ควรเอามาใช้

ทางวัดก็ต้องมีความรับผิดชอบเช่นกัน ถ้าผู้ต้องหา ผู้ต้องสงสัยอยู่ในพื้นที่ ก็ควรจะส่งมอบตัวเพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แต่กระบวนการยุติธรรมต้องโปร่งใสและเป็นธรรมจริงๆ เป็นความรับผิดชอบทั้ง 2 ฝ่าย ยิ่งเวลาผ่านไปนานขึ้น ความตึงเครียดจะมากขึ้น แต่ละฝ่ายจะมีแรงกดดันที่ต้องเผชิญหน้ากันมากขึ้น เมื่อฝ่ายรัฐเลือกใช้ยาแรง ผ่านไป 1-2 วัน 3 วัน 4 วัน กองเชียร์ก็เริ่มบ่นว่าทำไมจัดการธรรมกายไม่ได้ ทางฝ่ายวัดที่ถูกปิดล้อม ผ่านไปนานวันความตึงเครียดในพื้นที่ก็มีมากขึ้น ยิ่งเวลาทอดนานเท่าไรก็ไม่เป็นผลดีต่อทั้ง 2 ฝ่าย

ต้องเปลี่ยนสถานการณ์ตอนนี้ให้กลับมาปรกติตามกรอบกฎหมายธรรมดาให้ได้ เปลี่ยนจากมาตรา 44 เป็นกฎหมายธรรมดา ไม่ต้องห่วงเรื่องเสียหน้า เพราะแนวโน้มสถานการณ์ขณะนี้น่ากังวลอย่างมาก โดยเฉพาะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ประกาศว่าถ้าจับไม่ได้ก็ยังไม่ยกเลิกมาตรา 44 อันนี้เป็นสัญญาณที่น่ากลัว ยิ่งเซ็นเซอร์สื่อไม่ให้รายงานข่าว ไม่ให้รายงานสถานการณ์ตามความเป็นจริงและทันเหตุการณ์ก็เท่ากับว่ารัฐพยายามปกปิดสิ่งที่กำลังจะทำหรือเปล่า อันนี้เป็นสัญญาณลบ

ปัญหาสิทธิมนุษยชนด้านอื่นๆ

การเปลี่ยนผ่านตามโรดแม็พยังไม่เห็นว่าจะเปลี่ยนผ่านจริงๆ เพราะการใช้อำนาจอย่างกว้างขวางและใช้ตามอำเภอใจยังดำเนินอยู่ต่อไป ยังมีปัญหาเรื่องสิทธิมนุษยชน เรื่องที่หายไปจากพื้นที่สื่อคือสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งแทบจะไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย ปัจจัยที่ทำให้เหตุรุนแรงน้อยลงเพราะน้ำท่วม ไม่ใช่พวกแบ่งแยกดินแดนเปลี่ยนใจไม่ก่อเหตุ ตอนนี้น้ำลดก็จะมีการก่อเหตุสูงขึ้นอีกครั้ง ฝ่ายแบ่งแยกดินแดนก็ตอบโต้ข้อเสนอเรื่องเซฟตี้โซนหรือพื้นที่ปลอดภัย ทุกครั้งที่ประกาศพื้นที่ปลอดภัยจะเกิดเหตุในจุดที่ประกาศเยอะแยะเลย เพราะกระบวนการพูดคุยไม่เกิดขึ้นโดยสมัครใจ โดยเนื้อแท้ แต่อุปโลกน์ด้วยการตั้งขบวนการหรือกลุ่มแนวร่วมมาพูดคุยกับรัฐไทย แต่ฝ่ายที่ก่อเหตุจริงๆไม่เห็นด้วย รากเหง้าของปัญหาคือการแบ่งแยกดินแดนไม่ได้พูดถึงอย่างจริงจัง การเปิดพื้นที่ให้คนมีส่วนร่วม การกระจายอำนาจ ซึ่งเคยเป็นกรอบของรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อมีรัฐประหาร การกระจายอำนาจก็ถูกปิดกั้น คสช. ไม่ยอมหารือเรื่องการกระจายอำนาจ ทั้งที่ฝ่ายไม่เห็นด้วยกับการใช้อาวุธแบ่งแยกดินแดนอยากใช้แนวทางการเมืองแก้ปัญหา แต่กลับถูกปิดไปโดยปริยาย เหลือแต่การใช้อาวุธ ซึ่งนับวันจะยิ่งสุดโต่งและแข็งกร้าวมากขึ้น

การไม่ให้ประกันตัว “ไผ่ ดาวดิน”

เป็นกรณีตัวอย่างอีกเรื่องหนึ่ง คือตั้งแต่รัฐประหารเป็นต้นมากองทัพเข้ามาครอบงำกระบวนการยุติธรรม รัฐประหารครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่สถาปนาอำนาจของ คสช. ให้เป็นรัฏฐาธิปัตย์แล้วครอบงำทั้งฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ โดยตอนนี้การบังคับใช้กฎหมายและกระบวนการยุติธรรมทหารเข้ามาทำหน้าที่เป็นต้นน้ำ คือเป็นตัวที่ชี้เป้าและแจ้งความให้มีการดำเนินคดี หลังจากนั้นก็ไปกำกับให้ตำรวจจับกุมและดำเนินคดี บางครั้งทหารเข้าไปสอบสวนด้วยตัวเอง เมื่อเข้าสู่ศาลก็สามารถใช้อิทธิพลต่อการพิจารณาคดีอีก

ตอนนี้สั่งฟ้องคดีไผ่ไปแล้ว เราก็ต้องรอดูว่าจะใช้เวลานานแค่ไหน ระหว่างนี้สิ่งที่เกิดขึ้นกับไผ่คือ ถูกลงโทษไปล่วงหน้าแล้ว เพราะศาลยังไม่มีคำพิพากษาเลยว่าผิดหรือไม่ผิด แต่ใช้วิธีฝากขังไปเรื่อยๆโดยไม่ให้ประกัน ก็เหมือนคุณสมยศ พฤกษาเกษมสุข ก่อนหน้านี้ที่ถูกปฏิเสธการประกันตัวจนเป็นสถิติถึง 16 ครั้ง ถือว่ามาก กว่าจะมีการพิจารณาคดีจริงๆ ในที่สุดก็จบว่าคุณสมยศผิด แต่ก่อนจะตัดสินนั้นต้องติดคุกระหว่างรอการพิจารณาคดี ซึ่งกรณีไผ่ก็ทำท่าจะโดนแบบเดียวกัน

ผมยืนยันว่าคดีของไผ่ได้รับความสนใจจากนานาชาติมาก รวมถึงยูเอ็นที่เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมไม่โปร่งใสและเป็นอิสระ ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก ประเทศใดก็ตามที่ไม่ได้รับความเชื่อมั่นจากคนในประเทศตัวเองและจากนานาชาติ ประเทศนั้นจะอยู่ในสภาวะที่ย่ำแย่มาก คดีของไผ่คนที่แชร์บนเฟซบุ๊คมีเกือบ 3,000 คน แต่ไม่มีใครถูกแตะต้องเลย ต้นทางที่เขียนเรื่องก็ยังไม่มีการดำเนินคดีใดๆ แต่กลับรีบดำเนินคดีกับไผ่เพียงคนเดียวเท่านั้น ถ้าไปดูคนอื่นที่แชร์บางคนโพสต์ความเห็นที่รุนแรงชัดเจนมาก แต่ไม่มีใครถูกดำเนินคดีเลย จึงเห็นภาพการเลือกปฏิบัติจนนำมาสู่การตั้งคำถามว่าทำไมเลือกเฉพาะไผ่ เพราะไผ่วิพากษ์วิจารณ์ โต้แย้งการใช้อำนาจของ คสช. มาโดยตลอดหรือเปล่า ไผ่คือคนที่ฉีกหน้า พล.อ.ประยุทธ์ครั้งแรกด้วยการไปชู 3 นิ้ว จึงเล่นงานไผ่เพียงคนเดียว เลือกเล่นงานในพื้นที่ที่เป็นต้นเหตุเลยคือขอนแก่น

การสร้างความปรองดอง

ผมมองว่าเป็นการปรองดองด้วยการบังคับให้ยอมจำนนด้วยกระบอกปืน เป็นการบีบคอ ใช้ความหวาดกลัวเป็นเครื่องมือบีบบังคับ ซึ่งไม่ยั่งยืน จะยิ่งทำให้ความร้าวฉานในสังคมเหมือนแผลที่ยังไม่หายสนิทแล้วปิดไว้ มันก็เน่าเฟะอยู่ข้างใน

การสร้างความปรองดองของ คสช. ที่กำลังทำอยู่ในขณะนี้เป็นเรื่องยากที่จะเกิดขึ้นจริง เป็นการต้อนพรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมืองเข้าคอกว่า นับแต่นี้ต่อไปจะอยู่กันอย่างไร คืออยู่กันแบบสงบปากสงบคำ ไม่ท้าทายโครงสร้างของ คสช. ที่กำลังจัดระเบียบขึ้นมา ดังนั้น ความขัดแย้งยังคงซึมลึกอยู่ในสังคมไทยต่อไปเรื่อยๆ และที่น่ากังวลในขณะนี้คือ มันจะลุกลามมากขึ้น

คำถามคืออะไรจะเป็นตัวจุดชนวนให้ปะทุ อย่างที่เราเห็นตัวอย่างเมื่อเร็วๆนี้คือ โรงไฟฟ้าถ่านหินที่กระบี่ มันไม่ใช่เรื่องการเมืองเลย กลายเป็นตัวจุดชนวนที่ถ้าไม่จัดการให้ดีตอนนี้อาจจะแย่ไปแล้วก็ได้ เมื่อระบอบการเมืองกลายเป็นระบอบปิดที่ไม่ต้องปรึกษาหารือ ไม่ฟังเสียงประชาชน ทุบโต๊ะทำอะไรไปแล้วคนทนไม่ได้ก็ตอบโต้กลับแรงๆขนาดรัฐตั้งตัวไม่ติด เหตุการณ์อาจลุกลามเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวได้ ต้องจำไว้ จริงๆแล้วรัฐต้องดูบทเรียนนี้ เพราะบรรยากาศที่ไม่เป็นประชาธิปไตยจึงเกิดปัญหา แล้วจัดการไม่ดี ในอนาคตจะมีโครงการอะไรตามมาอีกมากมายที่กระทบชาวบ้านจำนวนมาก ไปๆมาๆชนวนความขัดแย้งของสังคมอาจไม่ใช่เรื่องการเมืองตรงไปตรงมาก็ได้ อาจเป็นเรื่องเศรษฐกิจ ความเป็นอยู่ สิ่งแวดล้อม แล้วกระทบต่อการเมือง

ปลายปีนี้จะมีเลือกตั้ง

ถ้าดูบรรยากาศตอนนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดการเลือกตั้งที่เสรี บริสุทธิ์ และเป็นธรรม เพราะปิดปากหมด ขับเคลื่อนอะไรไม่ได้ ความเป็นอิสระขององค์กรจัดการเลือกตั้งยังไม่เห็นว่ามีความเป็นอิสระแค่ไหน กฎหมายลูกที่ยังร่างอยู่ก็น่ากังวลว่าจะเป็นกฎหมายที่มาปิดกั้นมาควบคุมหรือเปล่า การเลือกตั้งยังไงก็ถูกเลื่อนไปปี 2561 แต่ถ้ายังไม่ผ่อนคลายการกดขี่ การเลือกตั้งที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงก็ไม่เกิดขึ้น ถ้า คสช. ยังไม่เลิกพฤติกรรมกดขี่ ปิดกั้น ปราบปรามคนเห็นต่าง ความเป็นประชาธิปไตยไม่มีทางเกิดขึ้นได้ การเลือกตั้งจะเป็นแบบจอมปลอมที่จัดฉากแบบขอไปที นานาชาติก็ไม่ยอมรับ รวมถึงคนไทยจำนวนมากก็ไม่ยอมรับ แล้วจะอยู่อย่างไร โดยเฉพาะสถานการณ์ของ คสช. ขณะนี้ ผมคิดว่ายิ่งอยู่นานก็มีคำถามเรื่องความชอบธรรม

ยิ่งอยู่นานยิ่งแสดงให้เห็นว่า คสช. ไม่เคยคิดจะทำตามคำสัญญาเรื่องคืนอำนาจเลย ที่สื่อต่างประเทศวิเคราะห์ว่าปี 2560 ประเทศไทยมีความเสี่ยงจะเกิดรัฐประหารขึ้นอีก โดยส่วนตัวผมไม่เชื่อ และยังไงก็ต้องคัดค้านไม่ว่าใครจะทำก็ตาม มันเป็นต้นไม้พิษ ลูกก็เป็นพิษ รัฐประหารคือศัตรูของประชาธิปไตยและนำไปสู่การลิดรอนสิทธิเสรีภาพ

แนวโน้มอนาคตประเทศไทย

ตอนนี้เห็นอยู่ภาพเดียวคือ ความเป็นเผด็จการที่เข้มข้นมากขึ้น เรียกว่าเผด็จการเต็มรูปแบบ ตราบใดที่ คสช. ยังไม่ปรับพฤติกรรม ความเป็นเผด็จการในสังคมไทยก็ยังไม่มีทางคลี่คลายได้ ถามว่าโอกาสที่จะเห็นประชาธิปไตยที่แท้จริงยังมีอยู่หรือไม่ ตอนนี้ผมยังไม่เห็นเลย อีกไม่กี่เดือนจะครบรอบ 3 ปีของการทำรัฐประหารแล้ว ยังไม่เห็นวี่แววว่าประชาธิปไตยจะกลับมาสู่ประเทศไทยเลย ไม่ว่าจะมีการเลือกตั้งเมื่อไรก็ตาม แต่ถ้ายังมีการใช้อำนาจในรูปแบบนี้ต่อไป ประชาธิปไตยอย่างแท้จริงไม่มีทางเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน


You must be logged in to post a comment Login