วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2567

มีปัญญามีเมตตา! / พระพยอม กัลยาโณ

On September 30, 2016

คอลัมน์ : สำนักข่าวพระพยอม
ผู้เขียน : พระพยอม กัลยาโณ

อาตมากล่าวถึง “ผัสสะ” ว่าเป็นตัวคุมกรรมให้อยู่เหนือกรรม ถ้าเราไม่อยู่ใต้กรรมเกินไป แม้กรรมจะซัดมาใส่เท่าไร ก็ตั้งท่ารับคุมผัสสะให้ดี เพราะทุกข์สุขก็อยู่ที่ผัสสะนี่แหละ เขาจะโยนหรือจะตัดสินอะไร ได้ยินแล้วก็ต้องบริกรรมภาวนาว่า รู้แล้ว ได้ยินแล้ว ระวัง อย่ารัก อย่าชัง อย่าวูบวาบไป เขาจะให้โทษให้ทุกข์ก็รับอย่างรู้เท่ารู้ทัน อย่าหวั่นไหวไปจนเกินเหตุ กระทบแล้วก็ไม่กระเทือน

กรรมจะบรรเทาเบาลงได้ตามหลักของพระพุทธศาสนา ส่วนไปไหว้พระสวดมนต์ ทำบุญทำทานก็อาจบรรเทาเบาลงได้บ้าง แต่ถ้าจะให้เหนือกว่าอะไรทั้งหมด ต้องฝึกควบคุมผัสสะ ไม่ว่าอะไรจะโถมเข้ามาก็ตั้งท่ารับด้วยผัสสะ จะกระทบก็อย่าให้กระเทือนเลื่อนลั่น ให้รู้ว่าเรารู้ทันมันน่ะ อะไรที่จะมากระทบกับเราก็ตั้งรับให้ดี เขาจะโยนใส่มายังไง ก็คงไม่หล่นทับเท้า ทับจิตทับใจ ช่วงที่เรามีความสุข เราก็รับกันมาเยอะ

อาตมาขออธิบายเพิ่มเติมว่า ช่วงทุกข์ก็ต้องรับได้ เพราะในโลกใบนี้มีทั้งได้ ทั้งเสีย ทั้งบวก ทั้งลบ ทั้งสมหวัง ผิดหวัง มีโลกธรรมทั้ง 8 มันกระทบมาเรื่อย คืออย่าให้โลกธรรมมาขบกัดเอา ให้อยู่เหมือนลิ้นงูในปากงูแต่ไม่ถูกเขี้ยวของงู ลองคิดดูมันอยู่ยังไง อย่าให้พิษทำให้เสื่อมลาภ เสื่อมยศ สูญเสีย จะใช้กี่หมื่นกี่ล้านบาทก็ใช้เท่าที่มี ถ้าไม่มีแล้วก็อาจติดคุกติดตะราง หมดเนื้อหมดตัวแล้วยังจะฆ่าทิ้งกันอีก คงจะใจดำเกินไป

ศาลคงมีเมตตาบ้าง เห็นเจตนาที่ข้าวเสียหาย นายกฯปูก็ไม่ได้แบกหนีหายแน่ คนที่ทำข้าวหาย ข้าวเสียหายเป็นใครก็ตามก็ไปจัดการ ไม่ใช่กี่กองๆก็มาลงที่นายกฯ คนเดียว มันก็ผิดหลักธรรมาภิบาลไปหน่อย

ส่วนทรัพย์สินที่จะยึดก็ยึดไป ค่าเสียหายเท่าไรก็ไปหักลบกลบกันว่า ชาวนาเขาก็ได้เหมือนกัน ไม่ใช่รัฐบาลชุดนั้นโกงหมด ข้าวหายไปกี่ตันนั้น อาตมาเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าผู้หญิงคนเดียวขนไม่ได้หรอก ไอ้ใครที่ขนไปก็ตามไปขนกลับมาซะ แล้วก็ลงโทษกันตามสภาพที่พอจะรับกันได้

ขอให้มีปัญญา มีเมตตาคุ้มครองกันเถอะ บ้านเมืองก็จะไปรอด หลวงพ่อพุทธทาสบอกว่า ต้องเผด็จการโดยธรรม คือต้องมีปัญญา มีเมตตา ให้ 2 ตัวนี้นอนเคียงคู่หัวใจกัน

อีกฝ่ายหนึ่งก็อย่าคับแค้นเคือง เพราะเขาก็ต้องทำตามกฎหมาย ศาลสถิตยุติธรรมก็ขอให้มีหลัก ไม่มีอคติ อย่างไหนพอจะโอนอ่อนผ่อนปรน อย่างไหนควรจะคงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายก็ทำไป เชื่อว่ากรรมที่กำลังสนองโกงอยู่นี่ ถ้าใช้หลักเมตตากับปัญญา แล้วกฎหมายก็เดินไปบนพื้นฐานของปัญญากับเมตตา อย่าให้มีลักษณะเกลียดชัง เหยียบย่ำ ลิดรอนหรือดิสเครดิตกัน ก็เชื่อว่ายังไงก็อยู่กันได้ คงไม่อาฆาตมาดร้ายกัน คงไม่ผูกเวรผูกกรรมไปทุกภพทุกชาติ

เอาล่ะ ถือว่าเกิดมาใช้กรรมไปสักพักหนึ่ง เดี๋ยวก็หมด แต่ขณะที่ใช้กรรมก็ต้องอยู่ให้เหนือกรรมด้วย หรือควบคุมผัสสะให้ได้ ตอนนี้พูดตรงๆง่ายๆก็เรียกว่า “รบกันไปพลาง คว้านิพพานไปพลาง อย่ารบกันไปพลาง ตกนรกไปพลาง” ก็เชื่อว่าเราคงพอจะรักษาบ้านเมืองกันได้ ถ้ารักษากฎหมาย ก็ถือเป็นบทเรียนให้ใครก็ตามที่จะขึ้นมาบริหารบ้านเมือง หรือจะเป็นนายทุน เจ้าสัว นายพล อดีตอธิบดี อดีตผู้บัญชาการตำรวจ ก็โดนกันเป็นแถว นึกว่ามาล้างบางล้างกรรมกันทีหนึ่ง เผื่อจะทำให้บ้านเมืองสะอาด ไม่สกปรกรกด้วยกรรมบาปกรรมชั่ว

เอาวิกฤตเป็นโอกาส พลิกผันสร้างชาติบ้านเมืองให้รุ่งเรืองต่อไปให้ได้แล้วกัน

เจริญพร


You must be logged in to post a comment Login