- บทเรียนพระสายมูPosted 9 hours ago
- ไม่ตายก็คางเหลืองPosted 23 hours ago
- ช่วยกันเป็นฮีโร่Posted 2 days ago
- อย่าอ่อนแอแพ้ต่อกิเลสPosted 3 days ago
- พระรัตนตรัยดีที่ 1Posted 6 days ago
- ประเทศต้องเดินหน้าได้Posted 7 days ago
- เด็กไทยต้องทำชีวิตก้าวหน้าPosted 1 week ago
- ยุคทะเลเดือดPosted 1 week ago
- รวยลัดเป็นเปลวนรกPosted 1 week ago
- คนทำบุญลดลงPosted 2 weeks ago
การแทรกแซงจากพระเจ้า
คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 11 ต.ค. 67)
หลังยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ทำให้มนุษย์ค้นพบกฎต่างๆที่ควบคุมปรากฏการณ์ทางธรรมชาติจนสามารถอธิบายหรือคำนวณเวลาที่จะเกิดปรากฏการณ์ต่างๆได้อย่างแม่นยำ เช่น การเกิดน้ำขึ้นน้ำลง การเกิดสุริยุปราคาหรือจันทรุปราคา เป็นต้น
แต่ความเจริญทางวิทยาศาสตร์ที่ตัดขาดความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าซึ่งเป็นที่มาของลัทธิโลกานิยม(Secularism) ทำให้มนุษย์ผู้นิยมล้ทธินี้ไม่เพียงปฏิเสธพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังพยายามหาทางอธิบายให้พระเจ้าอยู่ภายใต้กฎธรรมชาติที่ตัวเองค้นพบด้วย
เมื่อถูกถามว่า “ธรรมชาติคืออะไร?” สาวกลัทธิโลกานิยมกลับให้คำตอบที่กำกวม บางคนกล่าวว่าทุกสิ่งที่ปรากฏในธรรมชาติเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาเอง แต่การอธิบายเช่นนี้ถือว่าขัดกับวิทยาศาสตร์ที่ถือว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาต้องมีสาเหตุ แค่มองสาเหตุไม่เห็น สาวกลัทธิโลกานิยมก็ด่วนสรุปแล้วว่าไม่มีสาเหตุ ใครจะกล้าพูดขณะมีชีวิตว่าตัวเองไม่มีวิญญาณเพราะตัวเองมองไม่เห็นวิญญาณ
คำสอนของศาสนาสำคัญๆของโลกที่มีมาก่อนวิทยาศาสตร์กล่าวตรงกันว่าทุกสิ่งที่อยู่ในธรรมชาติเป็นสิ่งพระเจ้าสร้างขึ้นและทุกสิ่งอยู่ภายใต้กฎที่พระเจ้ากำหนดไว้เพื่อควบคุมมันให้ดำเนินไปตามพระประสงค์ของพระองค์ ธรรมชาติและปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในธรรมชาติจึงเป็นหลักฐานยืนยันถึงอำนาจของพระเจ้าในฐานะผู้สร้างและผู้ควบคุม
นั่นหมายความว่าพระเจ้าได้สร้างดาวนับแสนล้านดวงขึ้นมาในจักรวาลและวางโปรแกรมไว้ให้มันต้องดำเนินไปตามโปรแกรมที่กำหนดไว้ไม่ต่างจากการวางโปรแกรมล่วงหน้าให้โดรนหลายร้อยลำบินแปรรูปหรือตัวอักษรในอากาศ
เมื่อมนุษย์สร้างสุ่มเพื่อครอบไก่ มีมนุษย์คนใดบ้างที่เข้าไปอยู่ในสุ่มที่ตัวเองสร้างขึ้น ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อพระเจ้าสร้างกฎควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง พระเจ้าจึงต้องอยู่เหนือกฎ ไม่ใช่ไปอยู่ใต้กฎที่พระองค์สร้างขึ้นเอง การอยู่เหนือกฎนี้เองที่ทำให้พระเจ้าสามารถทำสิ่งที่เหนือกฎธรรมชาติและเกินกว่าความสามารถของมนุษย์ที่จะทำได้ ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติที่มนุษย์ทำไม่ได้นี้เองที่ถูกเรียกว่า “ปาฏิหาริย์”
ปาฏิหาริย์จึงเป็นอำนาจเหนือธรรมชาติของพระเจ้าที่บางครั้งพระองค์เข้ามาแทรกแซงและแสดงให้มนุษย์ได้เห็นอำนาจของพระองค์ ไฟที่โดยธรรมชาติจะเผาผลาญทุกสิ่งให้กลายเป็นผุยผง แต่เมื่ออับราฮัมถูกจับเผาไฟทั้งเป็น พระเจ้าได้สั่งให้ไฟเย็นลง ไฟก็ไม่ทำอันตรายอับราฮัมและอับราฮัมรอดชีวิตมาเป็นบรรพบุรุษแห่งความศรัทธาของชาวยิว ชาวคริสเตียนและมุสลิม
ทะเลจะแหวกจนเห็นสันทรายต่อเมื่อน้ำทะเลลดลงตามเวลา ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถทำให้น้ำทะเลลดลงได้ตามที่ตัวเองต้องการ แต่เมื่อพระเจ้าเข้ามาแทรกแซงด้วยการสั่งให้โมเสสใช้ไม้เท้าฟาดลงไปที่น้ำทะเล น้ำทะเลก็แหวกเป็นทางเดินให้พวกลูกหลานอิสราเอลเดินข้ามทะเลไปโดยที่น้ำทะเลไม่ได้ลด แต่กลับก่อตัวสูงขึ้นเป็นกำแพงสองข้างทางเดินเสียด้วยซ้ำ
มารีย์สาวพรหมจรรย์ได้รับการแจ้งจากทูตสวรรค์ว่าเธอจะให้กำเนิดบุตรชาย เธอตกใจเพราะเธอไม่เคยมีชายใดแตะต้องตัวมาก่อน การมีบุตรจึงเป็นการผิดธรรมชาติ แต่เมื่อทูตสวรรค์บอกให้เธอทราบว่าหากเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าแล้ว อะไรก็เกิดขึ้นได้ เพียงแค่พระองค์บอกว่า “จงเป็น” สิ่งที่พระองค์ประสงค์จะเกิดขึ้นมา
การแทรกแซงของพระเจ้าในรูปปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นกับบุคคลากรของพระองค์นั้นเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็หมดไป แต่การแสดงอำนาจเหนือธรรมชาติของพระองค์ยังมีอยู่ต่อเนื่อง ในอดีต เมฆดำทะมึนก้อนใหญ่เคยลอยอยู่ในท้องฟ้าเหนือชุมชนชาวอ๊าดในทะเลทรายอาหรับ ชาวอ๊าดผู้โอหังคิดว่าเมฆดำก้อนนั้นจะนำมาฝนมา แต่พวกเขาคิดผิด เพราะเมฆก้อนนั้นเป็นสัญญาณเตือนถึงพายุที่พัดกระหน่ำนานแปดวันเจ็ดคืนทำลายชนชาติอ๊าดจนจมหายไปในทะเลทราย
You must be logged in to post a comment Login