วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

รู้จักพระเจ้าด้วยการรู้จักตัวเอง

On May 17, 2024

คอลัมน์ : สันติธรรม

ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่  17 พ.ค.  67)

ถ้าหุ่นยนตร์ตัวหนึ่งถูกมนุษย์สร้างขึ้นมาด้วยความรู้ความสามารถและเวลา  มนุษย์ผู้มีปัญญาจะอ้างได้อย่างไรว่าตัวตนของมนุษย์เกิดขึ้นมาโดยบังเอิญ  เพราะความบังเอิญไม่มีในโลก

มนุษย์มิได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญจากธาตุสามสี่อย่างรวมตัวกันในสภาวะที่เหมาะสมจนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตตามทฤษฎีวิวัฒนาการของชาวตะวันตกและนักวิชาการไทยไปลอกมาเขียนเป็นตำราให้เด็กไทยเรียนกัน

มนุษย์มิได้เป็นผู้สร้างมนุษย์ขึ้นมา  แต่มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นและมีตัวตนอยู่แล้ว ดังนั้น มนุษย์จึงต้องมีผู้สร้างและผู้สร้างนั้นเป็นผู้ใดไปไม่ได้นอกจากพระเจ้าผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง

ทั้งหมดในจักรวาลนี้จึงเป็นสิ่งถูกสร้างที่มีพระเจ้าเป็นผู้ทรงสร้างแต่เพียงผู้เดียว

ความจริงดังกล่าวนี้ถูกกล่าวไว้ในคัมภีร์ทางศาสนาที่มาจากพระเจ้า  ความเชื่อที่ต่างไปจากนี้จึงเป็นอวิชชา

คัมภีร์ไบเบิลและคัมภีร์กุรอานกล่าวตรงกันถึงการสร้างมนุษย์ว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์มาจากดินและสร้างมนุษย์ตามฉายาหรือพระนามของพระองค์(ปฐมกาล 1:26) แต่ดินเป็นวัตถุที่ไม่มีวิญญาณ พระองค์จึงเป่าวิญญาณเข้าไปในดิน  ทำให้ดินกลายเป็นมนุษย์ที่มีชีวิตขึ้นมา  วิญญาณจึงเป็นชีวิตที่แท้จริงของมนุษย์และวิญญาณของมนุษย์นี้เองที่จะออกจากร่างในตอนหมดลมหายใจเพื่อกลับไปหาผู้ประทานวิญญาณให้แก่มนุษย์

คัมภีร์กุรอานกล่าวว่าหลังจากอาดัมผู้เป็นมนุษย์คนแรกเกิดขึ้นแล้ว พระเจ้าได้สอนนามต่างๆให้แก่อาดัม

นักวิชาการอธิบายว่า “นามต่างๆ” นี้หมายถึง 1) นามของพระเจ้าและคุณสมบัติของพระองค์ และ 2) นามของสรรพสิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา

เมื่อพระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมาตามฉายาของพระองค์  การรู้จักพระเจ้าก็ไม่ใช่เรื่องยากหากมนุษย์พิจารณาจากตัวเอง  พระเจ้าเป็นผู้ทรงเห็น พระองค์จึงสร้างลูกตาเพื่อให้มนุษย์มองเห็น แต่การมองเห็นของมนุษย์มีขีดจำกัด ผิดกับพระเจ้าที่มองเห็นทุกสิ่งทั้งในที่ลับและที่แจ้ง และมนุษย์ไม่สามารถมองเห็นพระองค์ไม่ว่าจะด้วยเครื่องมือทันสมัยอย่างไรก็ตาม

พระเจ้าเป็นผู้ทรงได้ยิน พระเจ้าก็ให้มนุษย์มีหูเพื่อการได้ยิน  แต่การได้ยินของมนุษย์มีขีดจำกัด ผิดกับการได้ยินของพระเจ้าที่ได้ยินทุกสิ่งแม้แต่เสียงกระซิบในหัวใจของมนุษย์

คัมภีร์จะกล่าวว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมาด้วยพระหัตถ์ของพระองค์  มนุษย์จึงมีมือ  แต่กระนั้น มนุษย์ก็ไม่สามารถจินตนาการได้ว่าพระหัตถ์ของพระเจ้าเป็นอย่างไร และนี่คือ “อจินไตย” หรือสิ่งที่ไม่ควรไปคิดเพราะมันสุดที่จะจินตนาการได้  แค่เพียงรู้ว่าจะใช้มือที่มีอยู่ไปในทางที่ดีอย่างไรก็พอแล้ว

นอกเหนือไปจากคุณสมบัติทางกายภาพที่พระเจ้าปร่ะทานแก่มนุษย์แล้ว  พระเจ้ายังประทานคุณสมบัติอันดีงามให้แก่มนุษย์ด้วย เช่น พระเจ้ามีพระนามว่าผู้ทรงเมตตา พระองค์จึงประทานความเมตตาให้เป็นคุณสมบัติทางวิญญาณแก่มนุษย์ด้วย  แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าใครมีคุณสมบัติแห่งความเมตตาและนำความเมตตาออกมาใช้  ด้วยเหตุนี้  พระองค์จึงให้มีคนตกทุกข์ได้ยากและคนทุพลภาพเกิดขึ้นเพื่อให้คนมีตามองเห็นและนำเอาคุณสมบัติแห่งความเมตตาของพระเจ้าออกมาใช้โดยการหยิบยื่นความช่วยเหลือให้

อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ พระเจ้าเป็นผู้ทรงให้อภัย  ดังนั้น พระองค์จึงประทานคุณสมบัตินี้ให้เป็นคุณสมบัติทางด้านวิญญาณแก่มนุษย์  แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าใครมีคุณสมบัติแห่งการให้อภัยถ้าพระองค์ไม่ให้ใครบางคนทำให้คนผู้นั้นโกรธหรือโมโหเพื่อที่เราจะได้ให้อภัย

ในอิสลาม  การรู้จักและศรัทธาในพระเจ้ามิได้หมายถึงการเชื่อในการมีอยู่ของพระเจ้าเพียงหนึ่งเดียว  แต่หมายถึงการรู้จักและศรัทธาในพระนามและคุณสมบัติต่างๆของพระองค์เพื่อใช้คุณสมบัติเหล่านั้นในการพัฒนาจิตวิญญาณของตนให้สูงส่ง


You must be logged in to post a comment Login