วันเสาร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

“ดิไอคอน กรุ๊ป”เตรียมรุกตลาดกลุ่ม AEC ตั้งเป้ายอดขายหมื่นล้านใน5ปี

On December 11, 2022

บริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด เป็นบริษัทอีคอมเมิร์ส ( E-Commerce) ที่มียอดขายติดอันดับหนึ่งของประเทศไทย และในไตรมาส 4 ของปีนี้ ดิไอคอนฯ ยังคงเติบโตแบบก้าวกระโดด ด้วยการวางระบบ Dropship Fulfillment ให้เจ้าของธุรกิจสั่งออเดอร์ โดยทางบริษัทจะจัดการแพ็กและจัดส่งสินค้าให้ถึงลูกค้าปลายทางแบบครบจบ  ดิไอคอนฯ ยังตอกย้ำแผนการตลาด ปี 2566 พร้อมชูสินค้าแบรนด์ BOOM  ที่มี 6 พระเอกซุปตาร์เป็นพรีเซ็นเตอร์ เตรียมรุกหนักทั้งตลาดไทยและอาเซียน ตั้งเป้ายอดขาย 10,000 ล้านบาทใน 5 ปี พร้อมทุ่มงบกว่า 1,000 ล้านบาท ซื้อที่ดิน 63 ไร่ ย่านหทัยราษฎร์ขยายสถาบันสอนขายออนไลน์เพิ่มความรู้ตัวแทนจำหน่ายให้ทันต่อเทรนด์การตลาดที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาอีกด้วย

เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา ที่ร้านอาหารฮ่องกง ฟิชเชอร์แมน เมืองทองธานีคุณวรัตน์พล วรัทย์วรกุล ประธานกรรมการบริหาร ผู้ก่อตั้งและอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของบริษัท  ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทอีคอมเมิร์ส ( E-Commerce) ที่มียอดขายติดอันดับหนึ่งของประเทศไทยให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ถึงแผนการตลาดของบริษัท ในไตรมาส 4 ปี 2565 ว่า บริษัทยังคงรุกตลาดผลิตภัณฑ์แบรนด์ BOOM  เป็นหลัก โดยดึง 6 พระเอกซุปตาร์ดัง ประกอบด้วย ป้อง-ณวัฒน์ ,บอย-ปกรณ์  ,เวียร์-ศุกลวัฒน์ ,โดม-ปกรณ์ ลัม, กันต์-กันตถาวร และ พีพี-กฤษฏ์ อำนวยเดชกร มาเป็นพรีเซนเตอร์ ซึ่งได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าที่เป็นแฟนคลับของพรีเซนเตอร์ทั้ง 6 ท่านเป็นอย่างดี  โดยหลังจากนี้บริษัทเตรียมบุกตลาดทั้งไทยและอาเซียนเพิ่มมากขึ้น ด้วยการขยายไลน์สินค้าจากเดิมที่มีอยู่ เพื่อเป็นการเพิ่มความหลากหลายให้กับตัวแบรนด์ อีกทั้งยังเป็นการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในช่วงอายุ Gen Y X Z ที่มีกำลังซื้อและรักสุขภาพเพิ่มมากขึ้น หลังจากผ่านพ้นช่วงวิกฤตโรคโควิด 19 

สำหรับผลิตภัณฑ์สินค้า แบรนด์ BOOM ที่จำหน่ายและได้รับความนิยมอยู่ในตอนนี้ประกอบด้วย คอลลาเจน Boom, กาแฟ Room, ยาสีฟัน Boom และBOOM D-Nax เพราะสินค้าดังกล่าวตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็น รูป รส กลิ่น และคุณสมบัติที่โดดเด่น คือ เป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสำหรับคนรักและดูแลสุขภาพ  ส่วนสินค้าที่ทางบริษัทคาดว่าเตรียมจะแตกไลน์เพิ่ม เพื่อทำยอดขายในปี 2566 ซึ่งเป็นแผนการตลาดที่ทางบริษัทฯ ได้เตรียมไว้ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์โปรตีนเสริมเพื่อสายสุขภาพตัวจริง และผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ในหลายรูปแบบเพื่อตอบโจทย์ให้กับกลุ่มเป้าหมายในยุคปัจจุบัน

“ในปีหน้าเราจะออกผลิตภัณฑ์สินค้าใหม่ในกลุ่ม Skincare (สกินแคร์) ตัวแรกจะเป็นเซรั่ม เรายังเน้นสินค้าในกลุ่มดูและผิวพรรณและดูแลสุขภาพ คงไม่ฉีกไปทำผลิตภัณฑ์ในไลน์อื่น เพราะอยากเน้นผลิตภัณฑ์ที่เรามีฐานลูกค้าอยู่แล้ว แม้ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้จะมีคู่แข่งในตลาดค่อนข้างมาก แต่ผลิตภัณฑ์ของเรามีความแตกต่างและมีคุณภาพ ไม่อย่างนั้นที่ผ่านมาเราคงไม่มียอดขายเป็นอันดับหนึ่ง”

อย่างไรก็ตามในปี 2566 บริษัทคงไม่ได้ขยายเพียงแค่ผลิตภัณฑ์สินค้า แบรนด์ BOOM เท่านั้น แต่เราเตรียมสร้างแบรนด์สินค้าตัวอื่นเพิ่มขึ้น และยังคงใช้พรีเซนเตอร์ที่เป็นซุปตาร์ระดับท็อปเทนของเมืองไทยในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ เพื่อเป็นช่องทางช่วยทำตลาดให้กับบรรดาตัวแทนจำหน่ายของบริษัทฯ นอกเหนือจากการยึดกลยุทธ์ 3 ดี คือ 1.สินดีค้า 2.ราคาดี และ 3.การตลาดดี อีกทั้งทางบริษัทยังใช้ช่องทางแพลตฟอร์มออนไลน์ของบริษัทฯ ซึ่งเป็นจุดแข็งของบริษัทฯ ในการวางระบบ Dropship Fulfillment เพื่อตัวแทนไม่ต้องสต็อกสินค้าแต่สามารถจัดส่งผ่านการสั่งซื้อได้ทันทีอย่างต่อเนื่อง เป็นระบบที่สร้างยอดขายให้บริษัทฯ เติบโตอย่างก้าวกระโดดในทุกวันนี้อีกด้วย    

สำหรับงบโฆษณาส่งเสริมการขายบริษัทฯ ใช้งบประมาณ 20-30 เปอร์เซนต์ของยอดขายทั้งหมด ซึ่งก็คงไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท ไม่นับรวมกิจกรรมการส่งเสริมการตลาดที่เรามอบให้กับตัวแทนจำหน่าย ซึ่งทำให้ปีที่ผ่านมาบริษัทสามารถทำยอดขายทะลุ 4,900 ล้านบาทไปเแล้ว พร้อมตั้งเป้าไว้ว่าอีก 5 ปีข้างหน้า จะก้าวขึ้นเป็นระดับ 10,000 ล้านต่อปี ที่เรามั่นใจเพราะว่าผลิตภัณฑ์สินค้าของเรานอกจากได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีลูกค้าในประเทศแล้ว ในต่างประเทศก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าเช่นกันโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านอย่าง สปป.ลาว, กัมพูชา และเมียนมาร์ ฯลฯ ซึ่งในปีหน้าทางบริษัทฯ ได้เตรียมการรุกตลาดในกลุ่ม AEC ให้มากขึ้น  ก่อนที่จะขยายไปยังหลายประเทศทั่วโลก ในอนาคตอันใกล้

“ที่ผ่านมาเรายังไม่ได้ทำตลาดต่างประเทศอย่างจริงจัง กลุ่มลูกค้าในประเทศเพื่อนบ้านจะสั่งสินค้าผ่านตัวแทนเราไปใช้ เมื่อใช้ดีก็บอกต่อๆกัน ทำให้ยอดสั่งซื้อสินค้าจากกลุ่มประเทศเพื่อบ้านมียอดเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญเราเลยจะเข้าไปทำตลาดอย่างจริงจัง แต่อาจจะเป็นในรูปของตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ซึ่งช่วงที่ผ่านมาเรามีตัวแทนในประเทศเมียนมาร์อย่างเป็นทางการเป็นประเทศแรกแล้ว ซึ่งในเมียนมาร์นอกจากผลิตภัณฑ์สินค้าที่บริษัทมีอยู่ในปัจจุบันเรายังได้ผลิตสินค้าบางตัวที่ไม่มีจำหน่ายในไทยให้กับตัวแทนในเมียนมาร์ด้วย ส่วนประเทศอื่นๆ ก็กำลังมองหาตัวแทนที่เหมาะสมอยู่” คุณวรัตน์พล กล่าวและว่า สำหรับประเทศนอกกลุ่มอาเซียนอย่างในยุโรป อเมริกา ก็มีการสั่งสินค้าไปใช้ และมีตัวแทนที่สั่งสินค้าไปขายกันอยู่ในกลุ่มของคนไทยที่อาศัยอยู่ที่นั่น ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีเพราะจะทำให้สินค้าของเราเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้นและเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมที่เราก็จะเข้าไปทำตลาดอย่างจริงจังต่อไป ตอนนี้เท่าที่มีข้อมูลมีคนสั่งสินค้าของเราไปใช้และมีตัวแทนสั่งสินค้าไปขายกว่า 23 ประเทศทั่วโลก”

คุณวรัตน์พล กล่าวด้วยว่าเพื่อรองรับการขยายตัวของบริษัท และเพื่อสนับสนุนตัวแทนจำหน่ายของเราที่มีอยู่กว่า 200,000 รายในปัจจุบัน และตัวแทนใหม่ๆ ที่จะเพิ่มเข้ามาในอนาคต บริษัทได้ซื้อที่ดิน 63ไร่ เพื่อขยายสถาบันสอนขายออนไลน์ ที่มีคอร์สเรียนออนไลน์เพื่ออัปเดตเทรนด์ตลาด พร้อมทั้งความรู้ในการทำธุรกิจออนไลน์อย่างครบถ้วนให้กับตัวแทนทุกคน ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของบริษัทที่บริษัทอื่นไม่มีใครกล้าลงทุนทำแบบเรา นอกจากจะขยายสถาบันสอนขายออนไลน์แล้ว ก็จะเป็น warehouse  เพื่อขยาย Dropship Fulfillment ระบบที่ให้เจ้าของธุรกิจสั่งออเดอร์โดยที่ทางบริษัทจะทำการแพ็กและจัดส่งสินค้าให้ถึงลูกค้าปลายทางให้แบบครบจบ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งในการทำธุรกิจของบริษัทอีกด้วย

“ในพื้นที่ 63 ไร่ย่านหทัยราษฎร์ที่บริษัทซื้อมาจะทยอยพัฒนาโดยแบ่งเป็น 4 เฟส เฟสแรกก็จะเป็นการขยายสถาบันสอนขายออนไลน์ก่อน ที่เหลือก็จะค่อยๆทำ เมื่อครบทั้ง 4 เฟสแล้วเราจะมีทุกอย่างครบวงจรในนั้น ทั้งสถาบันสอนขายออนไลน์ ร้านอาหาร ห้องประชุมอบรมสัมมนา ฯลฯ ครั้งนี้เราใช้เงินลงทุนหลักพันล้านบาท ซึ่งคงไม่มีใครกล้าทำแบบเรา ถ้าถามว่าทำไมบริษัทกล้าที่จะลงทุนเยอะขนาดนี้ ก็เพราะว่าเรามองเห็นอนาคตที่จะเติบโตไปได้อีก และเพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามเป้าหมายยอดขาย 10,000 ล้านบาทใน 5 ปี ซึ่งการลงทุนครั้งนี้จะช่วยให้เราทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน”


You must be logged in to post a comment Login