- ตั้งสติให้ดี “โลกนี้ มีเกิด มีตาย”Posted 3 months ago
- อย่าหาเรื่องอยู่ร้อน นอนทุกข์Posted 3 months ago
- โลกธรรมPosted 3 months ago
- อนุโมทนา คนพิการสู้ชีวิตPosted 3 months ago
- สลายความเกลียดชังPosted 3 months ago
- สู้ดีกว่าลาโลกPosted 3 months ago
- ใช้คาถาพระพยอมบ้างPosted 3 months ago
- เสียงชื่นชมดีกว่าเขาด่าPosted 3 months ago
- ต้องใช้ยาแรงกับคนขายชาติPosted 3 months ago
- บทเรียนผู้เห็นกงจักรเป็นดอกบัวPosted 3 months ago
สคอ.เตือนรักลูกให้ถูกทาง….ยิ่งเร็ว ยิ่งสูญเสีย

จากกรณีอุบัติเหตุคดีเยาวชนวัย 16 ปี ขับรถหรูฝ่าไฟจราจรชนบัณฑิตหนุ่มเสียชีวิต บริเวณสี่แยกไฟแดง ถนนมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จ.นครราชสีมา เมื่อคืนวันที่ 30 กันยายน2565 ที่ผ่านมา ได้สร้างกระแสดราม่าและมีการนำเสนอข้อมูลผ่านสื่อต่างๆมากมาย ณ วันนี้ความโศกเศร้าของครอบครัวผู้สูญเสียยังไม่จางหาย ยังทวงถามความยุติธรรมให้กับลูกชายอยู่ เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่าสังคมไทยยังต้องมีการปรับเปลี่ยนแนวคิด ทัศนคติ และร่วมหาทางออกร่วมกันเพื่อป้องกันความสูญเสียไม่ให้เกิดซ้ำรอย
นายพรหมมินทร์ กัณธิยะ ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ (สคอ.) กล่าวว่า การที่เด็กอายุ 15 ปีเกือบ 16 ปี เป็นถึงนักกีฬาทีมชาติ หมายความว่า เป็นเด็กที่มีศักยภาพ มีฝีมือ มีเป้าหมายที่ชัดเจน กลับตกเป็นทาสของทุนนิยม การที่พ่อแม่มีลูกเก่งต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ อย่าหลงใหลได้ปลื้มกับความสำเร็จของลูก และตอบสนองด้วยรถราคาแพง ในขณะที่ลูกยังไม่พร้อมทั้งวุฒิภาวะและทางกฎหมาย แม้ลูกตัวเองจะเก่งด้านอื่น แต่เรื่องบนถนนไม่มีใครเก่งเกินกว่าอุบัติเหตุ ต้องรู้ว่าถนนประเทศไทยไม่ใช่สถานที่ของคนที่คิดว่าตัวเองเก่ง เพราะคนที่คิดว่าเก่งตายไปกันหมดแล้วและยิ่งเคสนี้อายุยังไม่ถึงเกณฑ์แล้วมาขับรถ ไม่มีใบขับขี่ ไปชนคนอื่นตาย ยิ่งทำให้เกิดความสูญเสียมากมาย ผู้ที่เสียชีวิตจบปริญญาตรีด้วยเกียรตินิยม เป็นเสาหลักของครอบครัว เมื่อเสียชีวิตลงเปรียบเสมือนครอบครัวพังทลาย หากมองอีกมุมคืองการเรียนจบ มีงานทำไม่ใช่เครื่องยืนยันว่าจะรอดจากอุบัติเหตุทางถนน เพราะว่าการเรียนหนังสือเก่ง ได้รับการยอมรับในแวดวงการศึกษา ไม่ใช่คำตอบของการมีชีวิตรอด ดังนั้นการมีชีวิตรอด จะต้องระวัดระวังหลายด้าน เช่น พฤติกรรมการขับขี่ของตัวเอง และคนอื่น โดยเคสนี้ในมุมมองตนเองเห็นว่ากระบวนการยุติธรรมยังไม่สามารถทำให้ผู้กระทำผิดได้รับโทษอย่างจริงจัง ทำเป็นตัวอย่างว่ามีการลงโทษที่ทำให้คนในสังคมเกิดความเกรงกลัวต่อการทำผิดได้ ปรากฎการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรกเป็นเหตุการณ์ที่เกิดซ้ำๆในสังคมไทย
นายพรหมมินทร์ กล่าวว่า การใช้ความเร็ว เป็นพฤติกรรมการขับขี่ที่คนไทยกำลังติดกับดักความสะดวกสบาย ความเร็ว ความแรงของเครื่องยนต์ รถบิ๊กไบท์ รถแต่ง รถซิ่ง เกินกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ คือ กลุ่มคนที่เสพติดการใช้ความเร็ว เช่น กรณีนี้รถยนต์ขับด้วยความเร็วสูงฝ่าไฟแดงมาชนรถจักรยานยนต์ทำให้เสียชีวิตแม้จะใส่หมวกกันน๊อกแล้วก็ตามยังไม่สามารถเอาชีวิตรอดได้เพราะความรุนแรงจากการใช้ความเร็วที่สูง ถนนเมืองไทยเต็มไปด้วยคนที่ทำผิดกฎหมาย คนที่มีพฤติกรรมขับขี่เร็ว จึงต้องตระหนักเสมอว่าทุกคนมีโอกาสได้รับความเดือดร้อน ได้รับความสูญเสียจากความผิดพลาดของผู้อื่น การขับรถเร็วเกิน 80กม./ชม. โอกาสรอดครึ่งต่อครึ่ง หากขับเร็วเกิน 120 กม./ชม.โอกาสรอดเหลือแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ ความรุนแรงแปรผันตามความเร็วที่ใช้ ยิ่งขับเร็ว ยิ่งรุนแรง ยิ่งเสี่ยงตาย หากชอบความเร็วควรไปใช้ในสนามแข่งที่ได้มาตรฐานไม่ใช่มาใช้บนถนนทั่วไป ดังนั้น การใช้ความเร็วเหมาะสมจะช่วยลดความสูญเสียลงได้ ลดเร็วเท่ากับลดความเสี่ยง เมื่ออยู่บนถนนทุกคนต้องตระหนักเรื่องจิตสำนึกความปลอดภัยอยู่ตลอดทุกช่วงของชีวิต
นายพรหมมินทร์ กล่าวต่อว่าบทลงโทษตามกฎหมายปัจจุบันในมุมมองเห็นว่า การรวบรวมหลักฐานเพื่อเอาผิด ทำได้ยากและบางกรณีอาจไม่ครบถ้วน เมื่อตัดสินก็มักมีตัวแปลเพิ่มเติม เช่นหลักฐานพยานไม่ครบ เอาผิดได้ยาก การที่อายุไม่ถึงเกณฑ์ เป็นเยาวชน ไม่ได้มีเจตนา เป็นเหตุสุดวิสัย ความผิดครั้งแรก หรือไม่ต้องคดีอาญาฯ สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนทำให้ความผิดและบทลงโทษเบาลง ฉะนั้นกฎหมายยังไม่ส่งผลให้คนทั่วไปตระหนัก เกรงกลัวการทำผิดหรือระมัดระวังมากขึ้น ท้ายนี้อยากเตือนไปยังลูกหลานที่อายุไม่ถึงเกณฑ์ ไม่มีใบอนุญาตขับขี่แล้วขับรถบนถนน ผู้ที่เป็นพ่อแม่ผู้ปกครองต้องเตรียมใจไว้ ว่าต้องพบเจอกับความเสี่ยง ความสูญเสีย ควรรีบหามาตรการป้องกันก่อนสายเกินไป
You must be logged in to post a comment Login