วันอังคารที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2567

มูลค่าของความซื่อสัตย์

On May 13, 2022

คอลัมน์ : สันติธรรม

ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่  13 พ.ค.  65)

เจ้าของธุรกิจคนหนึ่งเตรียมขยายธุรกิจในต่างจังหวัด  เขาจึงต้องการคนที่เหมาะสมมาดูแลกิจการของเขา  ในวันสิ้นเดือน เขาเอาเงินเดือนใส่ซองให้พนักงานสามคนที่มีประสบการณ์โดยทุกซองเขาใส่เงินเกินไปหนึ่งพันบาท ในพนักงานทั้งหมด มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่นำเงินมาคืนเขา

ในตอนที่พนักงานคนนั้นนำเงินมาคืน เจ้าของธุรกิจบอกเธอว่า “คุณสอบผ่าน ผมกำลังทดสอบว่าใครเป็นคนซื่อสัตย์ที่ผมจะส่งไปเป็นผู้จัดการสาขาที่เปิดใหม่ เงินเดือนที่เกินนั้น คุณเก็บไว้และคุณรอรับเงินเดือนมากกว่านี้อีกจากตำแหน่งใหม่ที่ผมจะมอบให้คุณ”

พนักงานของเจ้าของธุรกิจคนนี้มีการศึกษาดีและมีใบปริญญารับรองคุณวุฒิทางด้านวิชาการทุกคน แต่ไม่มีพนักงานคนใดมีใบรับรองความซื่อสัตย์ที่สถาบันการศึกษาออกให้  เขาจึงต้องทดสอบ

ใครบอกว่าความดีกินไม่ได้และความซื่อสัตย์ไม่มีค่า ยุคนี้ไม่มีใครสนใจเรื่องคุณธรรมความดีอีกต่อไปแล้ว?

ครั้งหนึ่ง  ประเทศไทยเคยมีรายได้จากการส่งแรงงานไปยังประเทศซาอุดิอาระเบียเป็นอันดับต้นๆ  แต่เมื่อคนงานไทยคนหนึ่งแอบขโมยเครื่องประดับทองคำและเพชรนิลจินดาในวังของผู้เป็นเชื้อสายกษัตริย์ซาอุดิอาระเบียกลับมาประเทศไทย  และเมื่อถูกจับได้ ทางเจ้าหน้าที่ของไทยกลับส่งของปลอมกลับไปให้ ผลที่ตามมาก็คือ ไม่เพียงแต่ผู้ขโมยเท่านั้นที่ต้องรับโทษ  แรงงานไทยอีกหลายแสนคนต้องรับเคราะห์เพราะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปทำงานในซาอุดิอาระเบียอีกต่อไป  รายได้จากแรงงานในตะวันออกกลางนับหลายแสนบาทในแต่ละปีจึงหดหายไปทันที  ไม่เพียงเท่านั้น คนไทยทั้งประเทศยังถูกมองว่าไม่น่าไว้ใจอีกด้วย

ถ้าความซื่อสัตย์มีมูลค่า  การทุจริตก็มีมูลค่าความเสียหายด้วยเช่น  แต่ความทุจริตสร้างความเสียหายและความเดือดร้อนให้แก่ผู้คนมากมายและกว้างขวางกว่า

ก่อหน้าสมัยอิสลาม  พ่อค้าบางชุมชนในแผ่นดินอาหรับเคยทำการค้าโดยเอารัดเอาเปรียบและคดโกงผู้คน  พระเจ้าจึงส่งนบีบางคนมาเตือนพ่อค้าให้ชั่งตวงโดยเต็มและอย่าโกงตาชั่ง แต่พวกพ่อค้าไม่เชื่อนบี  ในที่สุด ชุมชนนี้ก็ถูกพระเจ้าทำลายหายสาบสูญไป

ความซื่อสัตย์เป็นนามธรรม  มิได้อยู่ในรูปวัตถุหรือตัวเงิน  แต่ความซื่อสัตย์สามารถเป็นต้นทุนการทำธุรกิจได้

นบีมุฮัมมัดมีอาชีพเป็นพ่อค้าตั้งแต่หนุ่ม  ก่อนได้รับภารกิจเผยแผ่อิสลาม  ท่านมีฐานะยากจน  แต่ชาวมักก๊ะฮฺให้ฉายาท่านเองว่า “อัลอะมีน” ซึ่งแปลว่า “ซื่อสัตย์และไว้วางใจได้”  คุณสมบัตินี้เป็นต้นทุนทางคุณธรรมที่ท่านไม่ได้ซื้อมาจากที่ไหน  ชาวเมืองมอบให้ท่านเอง  แม้ชาวเมืองไม่ชอบการเผยแผ่อิสลามของท่าน  แต่เมื่อใดที่ชาวเมืองที่เกลียดท่านจะเดินทางไกล ชาวเมืองจะเอาทรัพย์สินของต้วเองมาฝากไว้กับท่านด้วยความแน่ใจว่าจะได้ทรัพย์สินที่ตัวเองฝากไว้ครบถ้วน

คุณสมบัติแห่งความซื่อสัตย์และประสบการณ์ทางการค้านี้เองเป็นสิ่งดึงดูดแม่ม่ายเศรษฐีนามเคาะดีญะฮ์ให้ชวนท่านมาร่วมทำการค้าด้วย  เมื่อทุนทางวัตถุรวมกับทุนทางคุณธรรมและประสบการณ์  ธุรกิจการค้าจึงเกิดกำไรมากมาย ดังนั้น นางเคาะดีญะฮ์จึงขอแต่งงานกับมุฮัมมัดเป็นการรวมชีวิตและรวมทุนในเวลาเดียวกัน

มุฮัมมัดแต่งงานเมื่ออายุ 25 ปีในขณะที่นางเคาะดีญะฮ์มีอายุมากกว่า  จนกระทั่งเมื่อมุฮัมมัดอายุ 40 ปีและได้รับการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่เป็น “นบีผู้นำสาส์นจากพระเจ้า” มาเผยแผ่ยังผู้คน  นบีมุฮัมมัดจึงยุติการค้าเพื่อทำภารกิจอันยิ่งใหญ่ที่พระเจ้ามอบให้โดยที่ภรรยาของท่านทุ่มเททรัพย์สินทั้งหมดให้แก่นบีมุฮัมมัดในการปฏิบัติภารกิจ เช่น การช่วยเหลือคนยากจน  แม่ม่ายและปลดปล่อยทาส

ในตอนนบีมุฮัมมัดเสียชีวิต  ท่านไม่ได้ทิ้งทรัพย์สินอะไรไว้มากมาย  แต่อิสลามที่เกิดขึ้นและเติบโตมาได้จนถึงทุกวันนี้เริ่มต้นจากคุณธรรมที่เรียกว่า “ความซื่อสัตย์”


You must be logged in to post a comment Login