วันพฤหัสที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

การกระทำถูกตัดสินจากเจตนา

On March 27, 2022

คอลัมน์ : สันติธรรม

ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 25 มี.ค.  65)

เราไม่เคยเห็นคนตายทะเลาะเบาะแว้ง อิจฉาริษยาและเข่นฆ่าทำร้ายกัน ทั้งนี้เพราะวิญญาณที่ทำให้มนุษย์มีชีวิตได้ออกไปจากร่างกายแล้ว  พฤติกรรมเลวร้ายต่างๆจะเกิดขึ้นในตอนที่มนุษย์ยังมีวิญญาณอยู่ในร่าง ดังนั้น วิญญาณจึงไม่ต่างจากผู้บงการพฤติกรรมของมนุษย์ที่มีทั้งการทำดีและทำชั่ว

ถ้าหากจะตัดสินการทำดีและการทำชั่วของมนุษย์จากพฤติกรรมที่ปรากฏ ความยุติธรรมจะยังไม่สมบูรณ์ เพราะบางคนทำดี แต่มีเจตนาชั่ว บางคนทำผิดไปเพราะไม่รู้จริงๆหรือบางคนถูกบีบบังคับให้ทำผิดจนต้องทำตามก็มี  ด้วยเหตุนี้ ในกระบวนการยุติธรรม  เจตนาจึงถูกนำมาประกอบในการพิพากษาด้วย

แต่เนื่องจากเจตนาเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะมันเป็นเรื่องของความคิดและวิญญาณ  ด้วยเหตุนี้ อิสลามจึงถือว่าเจตนาเป็นพื้นฐานของการกระทำและการกระทำทั้งหลายจะถูกตัดสินตอบแทนตามเจตนา

เมื่อนบีมุฮัมมัดสั่งให้มุสลิมอพยพจากมักก๊ะฮฺไปยังเมืองมะดีนะฮฺเพื่อหลีกเลี่ยงการกดขี่ข่มเหง มุสลิมจำนวนหนึ่งจึงได้อพยพ ในช่วงเวลานั้นเอง นบีมุฮัมมัดได้กล่าวว่า “การงานทั้งหลายเป็นไปตามเจตนาและทุกคนจะได้รับสิ่งที่ตัวเองเจตนาไว้  ใครที่เจตนาอพยพเพื่อพระเจ้าและศาสนทูตของพระองค์ การอพยพของเขาก็เป็นไปเพื่อพระเจ้าและศาสนทูตของพระองค์ และใครก็ตามที่อพยพเพื่อผลประโยชน์ทางโลกหรือเพื่อแต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่ง  การอพยพของเขาก็เป็นไปเพื่อสิ่งที่เขาเจตนาอพยพ”

คำสอนดังกล่าวต้องการจะบอกว่าใครอพยพเพื่อพระเจ้า เขาจะได้รับรางวัลตอบแทนจากพระเจ้าในโลกหน้า  ส่วนใครอพยพโดยหวังผลประโยชน์ทางวัตถุในโลกนี้หรือเพื่อไปแต่งงานกับผู้หญิงที่ตนรักก็จะได้สิ่งตัวเองเจตนาไว้ เมื่อได้สิ่งที่ตัวเองเจตนาในโลกนี้แล้วก็หมดสิทธิ์ที่จะได้รับรางวัลตอบแทนในโลกหน้า

การกำหนดเช่นนี้ก็เพื่อให้ผู้ศรัทธาทำงานเพื่อพระเจ้าโดยมีเจตนาบริสุทธิ์และไม่หวังสิ่งตอบแทนอื่นๆในรูปของประโยชน์ทางวัตถุหรือชื่อเสียง

เจตนาจึงเป็นสิ่งที่ไม่มีใครรู้นอกไปจากพระเจ้า  นบีมุฮัมมัดได้ปล่อยให้เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับพระเจ้าผู้ทรงรอบรู้ทุกสิ่งทั้งในที่ลับและในที่แจ้งและแม้แต่สิ่งที่อยู่ในหัวใจของมนุษย์

ครั้งหนึ่ง  มีคู่กรณีนำความขัดแย้งเรื่องทรัพย์สินมาให้นบีมุฮัมมัดตัดสิน เมื่อท่านตัดสินไปแล้ว ท่านได้กล่าวว่าท่านตัดสินไปตามคำแถลงของคู่กรณีแต่ละฝ่าย บางคนพูดจาหว่านล้อมเก่งจนทำให้ท่านตัดสินไปตามนั้น  แต่ท่านได้ย้ำว่าถึงแม้จะพูดจาหว่านล้อมเก่งจนทำให้ตัดสินผิดไป  แต่ทรัพย์สินที่ฝ่ายผู้ชนะการตัดสินได้รับไปจะกลายเป็นไฟนรกสำหรับคนผู้นั้นเพราะเจตนาของเขา

นบีมุฮัมมัดได้กำชับบรรดาสาวกของท่านว่าหากใครกล่าวคำยืนยันว่าไม่พระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺองค์เดียวและมุฮัมมัดเป็นศาสนทูตของพระองค์  คนผู้นั้นจะต้องได้รับความปลอดภัยจากลิ้นและมือของมุสลิมด้วย   ครั้งหนึ่ง เมื่อนบีมุฮัมมัดได้รับรายงานว่าอุซามะฮ์แม่ทัพหนุ่มของท่านได้สังหารศัตรูในสนามรบทั้งๆที่ศัตรูผู้นั้นกล่าวคำยืนยันดังกล่าวแล้ว อุซามะฮ์กล่าวว่าศัตรูผู้นั้นกล่าวคำยืนยันเพื่อป้องกันตัวเองมิให้ถูกฆ่า  นบีมุฮัมมัดจึงย้อนกลับไปว่า “เจ้าผ่าหัวใจของเขา(เพื่อดูเจตนา)ด้วยไหม?”  คำพูดของนบีมุฮัมมัดทำให้อุซามะฮ์เสียใจจนรู้สึกว่าเขายังคงอยู่ในสภาพเหมือนเมื่อตอนที่เขายังไม่ได้เป็นมุสลิม

อีกครั้งหนึ่ง  เมื่อนบีมุฮัมมัดสั่งระดมพลเพราะท่านได้ข่าวว่าศัตรูกำลังเตรียมทัพที่จะมารุกราน มีสาวกสองคนที่ป่วยจริงมารายงานตัวว่าไม่สามารถร่วมทัพได้ ท่านจึงยกเว้นให้สาวกทั้งสองไม่ต้องไปร่วมทัพ สาวกคนหนึ่งรู้สึกเสียใจที่ไม่มีโอกาสออกไป“ญิฮาด”ซึ่งเป็นภารกิจอันยิ่งใหญ่  แต่อีกคนหนึ่งรู้สึกดีใจที่ตัวเองไม่ต้องไปลำบากและเสี่ยงชีวิต

ระหว่างการเดินทัพ  นบีมุฮัมมัดได้กล่าวแก่สาวกของท่านว่า “มีบางคนในหมู่พวกท่านอยู่กับท่านแม้ไม่ได้มากับพวกท่านและเขาจะได้รับรางวัลตอบแทนเหมือนกับพวกท่าน” เมื่อสาวกถามถึงเหตุผล นบีมุฮัมมัดตอบว่า “พวกเขามีเจตนาที่จะมา  แต่ไม่สามารถมากับพวกท่านได้”

ในอิสลาม  เจตนาเป็นสิ่งสำคัญในการตัดสินของพระเจ้า  ท่านนบีมุฮัมมัดกล่าวว่า “ใครเจตนาจะทำดี พระเจ้าจะให้หนึ่งผลบุญ แต่ถ้าทำตามเจตนา ผลบุญจะถูกทวีคูณเป็นสิบเท่า ถ้าเจตนาชั่ว พระเจ้ายังไม่คิด แต่ถ้าทำความชั่วตามเจตนา พระเจ้าจะคิดแค่เพียงบาปหนึ่ง แต่ถ้าละทิ้งเจตนาที่จะทำความชั่ว พระเจ้าจะให้หนึ่งผลบุญเป็นรางวัลตอบแทน”


You must be logged in to post a comment Login