วันศุกร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

ถึงรักอย่างไรก็ไม่เว้น

On December 6, 2019

คอลัมน์ : สันติธรรม

ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่  6-13 ธันวาคม 2562)

ในยุคอิสลามตอนต้นมีเรื่องราวต่างๆมากมายที่เกิดขึ้นโดยมิใช่ความบังเอิญและไร้วัตถุประสงค์ แต่มันเกิดขึ้นเพื่อเป็นบทเรียนสำหรับมนุษย์ในอนาคต คนที่เรียนรู้ประวัติศาสตร์จะพบความจริงว่าประวัติศาสตร์มักทบทวนตัวของมันเองอยู่เสมอเพื่อให้เราได้นำไปใช้ประโยชน์

ในสมัยของนบีมุฮัมมัดมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งชื่ออุซามะฮ์ บินเซด ซึ่งนบีมุฮัมมัดรักมาก เพราะเขาเป็นลูกของเซด บินฮาริษะฮ์ ทาสที่นบีมุฮัมมัดได้รับเป็นของขวัญแต่งงานจากภรรยาคนแรก ทันทีที่ได้รับเซดมานบีมุฮัมมัดได้ปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระ ไม่เพียงเท่านั้นท่านนบียังประกาศให้เซดเป็นบุตรบุญธรรมของท่านด้วย และธรรมเนียมของชาวอาหรับในเวลานั้นใครที่ถูกรับเป็นบุตรบุญธรรมจะมีสถานภาพเหมือนลูกในไส้ที่มีสิทธิ์รับมรดกจากพ่อบุญธรรม

ดังนั้น เซดจึงเป็นคนรุ่นแรกๆในจำนวนไม่ถึง 10 คนที่เข้ารับอิสลามกับนบีมุฮัมมัด

อุซามะฮ์ บุตรของเซดเติบโตในสถานการณ์ที่สังคมมุสลิมต้องทำสงครามต่อต้านการรุกราน ดังนั้น สภาพสังคมจึงหล่อหลอมให้เขาเติบโตเป็นเด็กหนุ่มที่กล้าหาญ ด้วยเหตุนี้เองในการปฏิบัติภารกิจทางทหารบางครั้ง นบีมุฮัมมัดจึงใช้ให้เขาเป็นผู้นำกองทหารตั้งแต่เขาอายุยังไม่ถึงยี่สิบ

ครั้งหนึ่งนบีมุฮัมมัดได้ส่งอุซามะฮ์นำคนกลุ่มหนึ่งออกลาดตระเวนและได้เกิดการปะทะกันกับชาวอาหรับเผ่าหนึ่ง ซึ่งเผ่าอาหรับเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ระหว่างการปะทะกันมุสลิมคนหนึ่งสามารถจับตัวคนในเผ่าอาหรับได้และต้องการจับเป็น ขณะถูกจับชาวอาหรับคนนั้นได้กล่าวว่า “ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ” (ซึ่งเป็นคำกล่าวยอมรับว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ) แต่พอกล่าวจบชีวิตของชาวอาหรับคนนั้นได้จบลงด้วยหอกของอุซามะฮ์

เมื่อกลับมาถึงมะดีนะฮฺ เหตุการณ์ดังกล่าวได้ถูกรายงานให้นบีมุฮัมมัดทราบ นบีจึงสั่งให้คนไปตามตัวอุซามะฮ์มาและถามเขาว่า “อุซามะฮฺ เจ้าฆ่าชาวอาหรับคนนั้นหลังจากที่เขากล่าวลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ กระนั้นหรือ?” อุซามะฮ์รู้ดีว่าก่อนหน้านี้นบีมุฮัมมัดเคยสอนสาวกของท่านว่า ใครที่กล่าวถ้อยคำนี้ เลือดเนื้อและชีวิตของคนผู้นั้นจะต้องได้รับความปลอดภัยจากมุสลิม เขาจึงกล่าวว่า “ท่านนบี เขากล่าวถ้อยคำนั้นก็เพียงเพื่อที่จะรักษาชีวิตของตัวเองไว้” นบีมุฮัมมัดแสดงความไม่พอใจและถามเขาว่า “ทำไมเจ้าไม่ผ่าหัวใจของเขาดูด้วยว่าเขามีความจริงใจหรือไม่ล่ะ?”

อุซามะฮ์เล่าว่า นบีมุฮัมมัดตอกย้ำคำถามนี้หลายครั้งจนเขารู้สึกว่าก่อนหน้านั้นเขายังไม่ได้รับอิสลามและรู้สึกผิดที่ทำสิ่งนั้นลงไป

usamah

มีอีกเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นกับอุซามะฮ์และทำให้เขาต้องได้รับบทเรียนจากนบีมุฮัมมัด

ผู้หญิงคนหนึ่งในเผ่ามัคซูมซึ่งเป็นเผ่าที่มีชื่อเสียงได้ขโมยทรัพย์สินบางอย่างของใครบางคนและถูกจับได้ ผู้ใหญ่ในเผ่าจึงรู้สึกกังวล เพราะรู้ถึงบทลงโทษที่ผู้หญิงของตนต้องได้รับ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงปรึกษากันว่าจะให้ใครเป็นคนไปทาบทามนบีมุฮัมมัดเพื่อขอให้ท่านลดโทษของผู้หญิงคนนั้น

หลังจากปรึกษากันแล้วทุกคนเห็นพ้องกันว่าไม่มีใครเหมาะสมและกล้าที่จะทำเช่นนั้นนอกจากอุซามะฮ์ เพราะอุซามะฮ์เป็นผู้หนึ่งที่นบีมุฮัมมัดรักมาก

เมื่ออุซามะฮ์มาพบนบีมุฮัมมัดและพูดกับท่านนบีในเรื่องที่ผู้อาวุโสในเผ่ามัคซูมขอร้อง นบีมุฮัมมัดได้กล่าวว่า “อุซามะฮ์ เจ้ากล้ามาขอร้องในเรื่องการลดหย่อนผ่อนโทษในกฎหมายที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดไว้แล้วกระนั้นหรือ?”

หลังจากนั้นนบีมุฮัมมัดได้ยืนขึ้นกล่าวกับผู้คนที่อยู่ในที่นั้นว่า “พวกท่านทั้งหลาย ผู้คนก่อนหน้าพวกท่านได้ถูกทำลายหายนะไปมากต่อมากแล้ว เพราะเมื่อคนมีเกียรติของพวกเขาขโมย พวกเขาปล่อยขโมยไป แต่เมื่อคนอ่อนแอในหมู่พวกเขาขโมย พวกเขาจัดการลงโทษคนอ่อนแอ ขอสาบานด้วยพระเจ้า ถ้าฟาฏิมะฮ์ลูกสาวของมุฮัมมัดขโมยทรัพย์สินของใคร ฉันจะตัดมือเธอทันที”


You must be logged in to post a comment Login