วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2567

น้ำขึ้นให้รีบตัก.. น้ำท่วมยิ่งต้องรีบตัก

On September 6, 2019

คอลัมน์ : เรื่องจากปก

ผู้เขียน : ทีมข่าวการเมือง

(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่ 6-13 กันยายน 2562)

เมืองไทยอุดมสมบูรณ์ “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว” แต่ตอนนี้ในนามีแต่น้ำท่วม ส่วนข้าวปลาแทบไม่มีจะกิน..

ไม่รู้กี่ทศวรรษแล้วที่เราได้ยินเรื่องน้ำแล้ง ฝนแล้ง ขาดน้ำเพื่อทำเกษตรกรรม แต่ถัดมาอีกไม่กี่เดือนก็กลายเป็นน้ำท่วม เกิดอุทกภัยใหญ่ ประเทศอุดมสมบูรณ์อย่างประเทศไทยเป็นอย่างนี้แทบทุกปี

เมื่อเกิดภัยพิบัติ สิ่งที่เข้ามาทดแทนน้ำแล้งน้ำท่วมก็คือ “น้ำใจ” ทุกหน่วยงาน ทุกจิตอาสา ต่างร่วมมือร่วมใจนำ “ถุงยังชีพ” นำข้าวปลาอาหารและอุปกรณ์เครื่องมือบรรเทาทุกข์ชั่วคราวไปแจกผู้ประสบภัย ไม่ว่าภาคเอกชน ฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน หน่วยราชการ พ่อค้า อาสาสมัคร นักการเมือง เอ็นจีโอ ทุกสิ่งอย่าง ต่างคนต่างเข้าไปมะรุมมะตุ้ม

เพราะเมื่อเกิดอุบัติภัย อะไรที่ทำได้ต้องเข้าไปทำทันที การทำดีและช่วยเหลือคนไทยด้วยกันจึงไม่มีใครรีรอว่าฝ่ายไหนเป็นฝ่ายไหน

แน่นอนว่าเดือนหน้า ปีหน้า ทศวรรษหน้า หรือชาติหน้า เราก็จะเห็นบรรยากาศแบบนี้ไปตลอด และจะยิ่งเห็นชัดมากขึ้น เพราะไม่ว่าใครทำอะไรในยุคที่โซเชียลเน็ตเวิร์คเบ่งบาน ภาพทุกภาพจะปรากฏเป็น CSR (Corporate Social Responsibility) ชั้นดี เรียกง่ายๆว่า ถ้าทำดีอย่าลืมเซลฟี่ให้คนรู้ คำว่า “ปิดทองหลังพระ” นั้น พระกระโดดกำแพงวัดหนีไปนานแล้ว

มีคำถามว่า ทำไมการที่เรารู้ทั้งรู้ว่าทุกปีจะมีเหตุการณ์น้ำแล้งฝนแล้ง รู้ว่าทุกปีจะมีเหตุการณ์น้ำท่วมฝนตกหนัก รู้ว่าจะมีหนาวจัดร้อนจัด ทำไมเหตุการณ์เหล่านี้ “ผู้มีอำนาจ” ไม่สามารถป้องกันหรือบริหารจัดการได้ ทั้งที่เรามีทั้งข้อมูล สถิติ และการพยากรณ์

ถ้าถึงขนาดที่รัฐบาลมีที่ปรึกษาฮวงจุ้ยมาพยากรณ์ว่า “ทั่นผู้นำ” จะอยู่ยาวถึง 8 ปีได้ ก็น่าจะเชิญมาใช้พยากรณ์ว่าปีหน้าปีไหนน้ำจะท่วมอีกหรือไม่

ทุกวันนี้เรามีการแจก “ถุงยังชีพชั่วคราวแบบถาวร” ในทุกฤดูฝนหลาก เรามีการแจก “ผ้าห่มเครื่องกันหนาว” ในทุกฤดูหนาว เรามีการเตรียมพร้อม “แจกสิ่งของ” บรรเทาภัยพิบัติ ซึ่งถือว่ามีระบบพร้อมแจกและพร้อมรับบริจาคสูงมาก แต่น่าคิดว่าทำไมเราถึงไม่มีระบบการป้องกันภัยพิบัติที่ดีกว่านี้ หรือจะทำอย่างไรให้ประชาชนมีความรู้ ความพร้อม สามารถดูแลตนเองเบื้องต้นได้ดีกว่าที่เป็นอยู่ เมื่อรู้ว่าจะมีภัยพิบัติเหล่านี้มาอย่างแน่นอนทุกปี

ทำไมทุกช่วงภัยพิบัติจึงมีไอเดียบรรเจิด มีข้อเสนอแนะมากมายเมื่อเกิดภัยพิบัติแล้ว แต่สุดท้ายก็แค่ “ไฟไหม้ฟาง” หลังหมดเทศกาลเซลฟี่ก็หลงลืมกันไป รอไปเริ่มแจกถุงยังชีพกันใหม่เมื่อถึงภัยพิบัติครั้งหน้า

ปรากฏการณ์ที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ทุกภัยพิบัติจะเป็นข้ออ้างชั้นดีให้กับผู้มีอำนาจที่จะใช้ช่วงโอกาสนั้นทำสรรพสิ่ง

แบบนี้ต้องขอยืมคำของ “คุณหนูดี” ที่เคยโพสต์ตอนน้ำท่วมใหญ่สมัยอีปูว์มาใช้ “ขอพูดอะไรแรงๆสักครั้งในชีวิตค่ะ พูดแล้วจะร้องไห้…น้ำท่วมไม่กลัว กลัวอย่างเดียว…ผู้นำโง่ เพราะพวกเราจะตายกันหมด”

ทุกภัยพิบัติมักจะสร้างโอกาสให้ทำความดี คนส่วนใหญ่ทำความดีเพราะอยากทำดี แต่ก็มีบางคนฉกฉวยโอกาสสร้างภาพให้ผู้คนอีกส่วนหนึ่งลืมเรื่องที่ค้างคากันอยู่ เรียกว่าไม่ใช่แค่น้ำท่วมไร่นาที่อยู่อาศัยเท่านั้น แต่ยังสร้างอาการ “น้ำท่วมปาก” ได้อย่างแยบยล

ในขณะที่พี่น้อง 3 ป. ยืนยันด้วยความหนักแน่นและร่วมเป็นร่วมตายจากสมรภูมิในอดีต และไม่ทิ้งกันจนได้ปูนบำเหน็จกันในสมรภูมิปัจจุบัน แต่ดูเหมือนสมรภูมิของ “อนาคตใหม่” นั้น ช่างมืดมนนัก

แทบไม่มีใครเสียเวลาไปลุ้นว่า “ทั่นผู้นำ” จะถูกตัดสินว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่ เพราะเชื่อขนมกินได้ว่ายังไงก็ไม่สะเทือน แต่สำหรับอนาคตใหม่ของ “พ่อของฟ้า” ที่เป็นแค่ “ว่าที่ ส.ส.สัมภเวสี” เชื่อว่ายังคงต้องถูกดองเอาไว้อีกนาน อย่างน้อยก็ทำให้ไม่มี ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เลื่อนชั้นขึ้นมาแทนเพื่อเพิ่มจำนวนฝ่ายค้านได้ ขึ้นชื่อว่า “สภา 500”  มันแสลงใจไปหน่อย เอาเป็นว่าเหลือแค่ “สภา 499” ตัวเลขนี้..ดูขลังกว่า!

ที่โหดร้ายไปกว่านั้นสำหรับ “พ่อของฟ้าเดียวกัน” คือต้องลุ้นว่าจะลามปามไปถึงขั้นยุบพรรคหรือไม่ แม้อนาคตใหม่มี “มือกฎหมาย” ที่เก่งฉกาจ แต่ยากที่จะต่อกรกับ “มือที่มองไม่เห็น”

ประเด็นการซักฟอกเรื่องถวายสัตย์ฯของ “ทั่นผู้นำ” ที่เอ่ยวาจาไม่ครบถ้วน ผิดรัฐธรรมนูญ จึงแปรเปลี่ยนเป็นประเด็นที่ลากโยงไปสู่เรื่องที่ห้ามพูด ห้ามแตะต้องเกินรัฐธรรมนูญ

คนหนึ่งอยากเข้าในสภาแต่เขาไม่ให้เข้า อีกคนหนึ่งต้องเข้าสภาแต่กลับไม่กล้าเข้า.. ต้องอ้างฟ้า อ้างดิน อ้างสภาพอากาศ.. สภาพการเมืองไทยจึงแปรปรวน พร้อมเกิดภัยพิบัติได้ตลอดเวลา

ระหว่างที่ท่านทั้งหลายกำลังเซลฟี่ความดี.. รุ่นน้องรุ่นพี่ก็ช็อปปิ้งไปพลางๆ..

“น้ำขึ้นให้รีบตัก” ฉันใด..

“น้ำท่วมให้รีบตัก” ก็ฉันนั้น!!??


You must be logged in to post a comment Login