วันเสาร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2567

ไม่เกี่ยวกับประชาชน?

On June 20, 2019

คอลัมน์ : เรื่องจากปก
ผู้เขียน : ทีมข่าวการเมือง

(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่ 21-28 มิถุนายน 2562 )

พิธีไหว้ครูปีนี้กลายเป็นข่าวดังข่าวฉาว เพราะไม่ใช่แค่ความสวยงาม แต่ยังมีความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก โดยเฉพาะการล้อเลียนการเมือง อย่างโรงเรียนชุมพลโพนพิสัย หนองคาย โรงเรียนเฉลิมขวัญสตรี พิษณุโลก โรงเรียนสกลราชวิทยานุกูล สกลนคร และโรงเรียนหอวัง กรุงเทพฯ ทำพานไหว้ครูเป็นรูปหีบเลือกตั้ง รูปรถถัง รูปเรือดำน้ำ รูปนาฬิกายืมเพื่อน รูปชูสามนิ้วพร้อมข้อความ #saveThailand รูปพานรัฐธรรมนูญ และรูปตาชั่ง 250 ส.ว.ลากตั้งที่หนักกว่าเสียงของประชาชน ฯลฯ

ภาพพานไหว้ครูล้อเลียนการเมืองที่เผยแพร่ผ่านสังคมออนไลน์ ทำให้มีข่าวว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารเดินทางไปที่โรงเรียนเพื่อพบนักเรียนที่ทำพานและครูที่เกี่ยวข้อง ขอความร่วมมือให้ลบภาพพานล้อเลียนการเมืองที่แสลงใจ “เผด็จการ” ทั้งหมด

ขณะที่ผู้อำนวยการโรงเรียนชุมพลโพนพิสัยชี้แจงว่า นักเรียนที่ทำพานไหว้ครูล้อเลียนการเมืองนั้น แล้วแต่คนจะมองว่าสื่อไปในทางไหน

นอกจากนี้การจัดกีฬาสีของโรงเรียนสภาราชินี จ.ตรัง ได้มีขบวนพาเหรดล้อการเมืองและ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เช่น “5 ปีที่ผ่านมาผมว่ายังไม่พอ” “ผมเลยจะขอทำต่ออีก 4 ปี” ป้ายผ้าเขียนว่า “เรารักลุงตู๋” พร้อมด้วยหลักกิโลเมตรจำลองเขียนว่า “กม.44” และป้ายผ้าปิดท้ายว่า “ปีนี้เอาแค่หัวส่วนตัวเอาไว้ปีหน้า และหนูขอสัญญาว่า…” “หนูจะเป็นเด็กดี” ซึ่งผู้อำนวยการโรงเรียนระบุว่า โรงเรียนตรวจสอบแล้วและเห็นว่ามิได้ส่อไปในทางรุนแรงจึงอนุญาตให้ดำเนินการ เข้าใจว่านักเรียนต้องการแสดงออก แต่ต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตที่เหมาะสม

“ศิษย์มีครู” ไม่ล้อเลียนเสียดสี

แม้หลายโรงเรียนจะสะท้อนว่าเด็กรุ่นใหม่สนใจการเมือง ต้องการประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพ และไม่จมปลักกับความคิดเผด็จการอนุรักษ์นิยมอย่างผู้ใหญ่บางคนบางกลุ่มที่อ้างว่าการเชื่อฟังผู้ใหญ่คือหนึ่งในการทำความดี แต่ก็มีบางโรงเรียนที่ยังพยายามควบคุมความคิดเด็ก ต้องการให้เด็กอยู่ในกรอบเหมือนอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการ แทนที่จะให้เด็กคิดเป็น กล้าคิด กล้าทำ

อย่างการแชร์เอกสารผ่านเพจ “นักเรียนสามเสน” ลงชื่อกลุ่มบริหารกิจการนักเรียนโรงเรียนสามเสนวิทยาลัย ระบุว่า เพื่อให้การไหว้ครูในวันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน 2562 เป็นไปตามขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมอันดี ขอความกรุณาคุณครูช่วยอนุรักษ์และรักษาวัฒนธรรมและประเพณี จึงขอความร่วมมือให้ครูชี้แนะและหารือการจัดพานไหว้ครูให้ถูกต้องตามวัฒนธรรมประเพณี ไม่ล้อเลียน เสียดสี หน่วยงานหรือสถาบันอื่น ให้เน้นกิจกรรมของการไหว้ครู ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความกตัญญูรู้คุณครูสมกับคำว่า “ศิษย์มีครู”

ไม่ต่างกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหนึ่งในผู้นำคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่เชื่อว่ามีผู้อยู่เบื้องหลังการทำพานล้อเลียนการเมือง เพราะไม่เชื่อว่าเด็กไทยจะคิดแบบนี้ได้ คือไม่เชื่อว่าเด็กรุ่นใหม่จะมีความคิดและสนใจการเมือง ไม่รู้ความแตกต่างระหว่างระบอบเผด็จการกับระบอบประชาธิปไตย

ขณะที่ พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ยืนยันว่า กองทัพไม่ได้สั่งเจ้าหน้าที่ เช่นเดียวกับ พ.ต.อ.ภูวิศ ศิริพานิช ผกก.สภ.โพนพิสัย หนองคาย ก็อ้างว่าตำรวจเข้าไปตรวจความเรียบร้อยตามปกติ ไม่ได้สั่งหรือข่มขู่นักเรียนให้ลบภาพออกแต่อย่างใด เพราะการทำพานไหว้ครูถือเป็นความคิดของนักเรียนเอง

แก๊งมีสีไม่มีอำนาจ

ผศ.สาวตรี สุขศรี อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊คว่า มีข่าววงในระบุว่า “แก๊งมีสี” จำนวนหนึ่งไปขู่โรงเรียนและเด็กที่ทำพานไหว้ครูล้อการเมืองและแชร์จนเป็นที่ฮือฮา โดยขู่ว่าอาจมีความผิดและให้ยุติการเผยแพร่ภาพ ทำให้เด็กกลัวและขอร้องให้ช่วยลบโพสต์ต่างๆนั้น ยืนยันว่าไม่มีความผิดใดๆทั้งคนถ่ายรูปและแชร์ภาพ ไม่ว่าจะเป็น ป.อาญา หรือ พ.ร.บ.คอมพ์

อาจารย์สาวตรียังเตือน “แก๊งมีสี” ว่าการเที่ยวไปข่มขู่ผู้อื่นให้กระทำการ ไม่กระทำการ หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยที่ตัวเอง “ไม่มีอำนาจ” ตามกฎหมายเป็นความผิดตามกฎหมายอาญา พร้อมสรุปว่า “#ไม่ผิด ไม่ต้องกลัว #ไม่ผิด ไม่ต้องลบ #เผด็จการประชาธิปไตยไหมล่ะมึง”

“ธนาธร” ยื่นกระทู้ใช้อำนาจข่มขู่

นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กล่าวกรณี พล.อ.ประวิตรมองว่าพานไหว้ครูล้อการเมืองมีคนอยู่เบื้องหลังว่า การที่มีเจ้าหน้าที่สั่งให้เด็กลบรูปออกจากสื่อโซเชียลควรจะหมดไปได้แล้ว หมดเวลาใช้อำนาจข่มขู่คุกคามสิทธิเสรีภาพของประชาชน พรรคอนาคตใหม่จะใช้สิทธิในฐานะ ส.ส.ฝ่ายค้านตรวจสอบการใช้อำนาจข่มขู่ประชาชนโดยอาจใช้การตั้งกระทู้ถามในสภา

ส่วนข่าว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐนั้น เป็นเรื่องของพรรคพลังประชารัฐ เพียงเชื่อว่าแม้ คสช. จะสลายตัวหลังมีรัฐบาลใหม่ แต่ระบอบ คสช. จะยังคงอยู่ในรูปแบบของ ส.ว. 250 คน ในรูปแบบของกรรมการองค์กรอิสระที่แต่งตั้งในยุคของ คสช. รวมถึงอยู่ในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแสดงความยินดีกับ ส.ว. ที่มีชื่อของกรรมการสรรหาได้รับการคัดเลือกเป็น ส.ว. ด้วย แสดงให้เห็นว่าเป็นระบบผลัดกันเกาหลัง

บังคับขอโทษ คสช.คลิปล้อเลียนเพลงคืนความสุขฯ

นอกจากนี้ยังมีกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊คชื่อ Yan Marchal ชาวฝรั่งเศส ทำคลิปวิดีโอล้อเลียนเพลง “คืนความสุขให้ประเทศไทย” เผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊คเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน และมีผู้เข้าชมมากกว่า 1 ล้านครั้ง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คช่วงค่ำวันที่ 12 มิถุนายนว่า ขอโทษ คสช. และประชาชนชาวไทยที่ทำเพลงล้อเลียน คสช.

เฟซบุ๊คดังกล่าวได้เผยแพร่เพิ่มเติมภายหลังว่าเป็น “เอกสารบันทึกความเข้าใจ” ซึ่งตำรวจไทย 2 นาย บังคับให้เขาลงนามรับรองหลังจากบุกถึงบ้านพักและแจ้งให้ลบคลิปล้อเลียนดังกล่าว โดยให้ลงชื่อรับรองในเอกสารภาษาอังกฤษซึ่งข้อความระบุว่า เขาสำนึกและยอมรับว่าการทำคลิปล้อเลียนคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นเรื่องไม่เหมาะสมด้วยความสมัครใจ ซึ่งเขาไม่อยากมีปัญหาทางกฎหมายหรือการอยู่ในประเทศไทย

นายแบรด อดัมส์ ผู้อำนวยการฮิวแมนไรท์วอทช์ประจำภูมิภาคเอเชีย แถลงการณ์กรณี Yan Marchal เช่นเดียวกับ “ณภัทร ชุ่มจิตตรี” หรือ “คิง ก่อนบ่าย” นักแสดงตลกที่เคยเผยแพร่คลิปล้อเลียนเสียง พล.อ.ประยุทธ์ ก็ออกมาโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊คส่วนตัวขอให้ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์งดแชร์คลิปดังกล่าวโดยไม่ได้บอกเหตุผลเพิ่มเติม เรียกร้องให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ออกคำสั่งไปยังเจ้าหน้าที่ส่วนต่างๆให้ยุติการกระทำใดๆก็ตามที่ทำให้ผู้วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลต้องเงียบเสียงลง เพราะเป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นอย่างสงบและสันติของคนในสังคม

อย่าทะเลาะกับคนรุ่นใหม่

นายปลอดประสพ สุรัสวดี แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คกรณีพานไหว้ครูว่า “หลานคนหนึ่งมาปรารภให้ฟังว่าเพื่อนๆเขาจะทำพานไหว้ครูล้อการเมืองคุณปู่จะว่าอย่างไร เรื่องนี้ทำให้ผมคิดว่าเด็กสมัยนี้แม้อายุจะไม่ถึงสิบขวบแต่เขาก็มีความคิดที่อิสระเป็นของตัวเองแล้ว ดังนั้น การที่คุณประวิตรออกมาพูดว่าเด็กไม่น่าจะคิดเอง คงจะมีใครอยู่เบื้องหลัง จึงฟังไม่ขึ้น แต่ก็เอาเถอะ เพราะไม่มีครอบครัวจึงคิดไปแบบนี้มั้ง

ผมสะอิดสะเอียนพวกที่ป่าวร้องว่ารัฐธรรมนูญเป็นของสูงจะมาล้อเลียนไม่ได้จังเลย แล้วที่ฉีกรัฐธรรมนูญปฏิวัตินั่นมันอะไรเล่า แถมรัฐธรรมนูญโฉเกแบบนี้ จะยังมาแสวงหาความเคารพไปหาพระแสงอะไร (วะ) ต้องขอบคุณครูอาจารย์ที่ยินยอมให้เด็กกล้าคิดกล้าทำตามที่เขาเชื่อ แต่ก็อยากเตือนคณะอาจารย์อีกชุดความคิดหนึ่งที่มุ่งมั่นจะควบคุมสติปัญญาของเด็กๆรุ่นใหม่นี้ให้เป็นแบบแคบๆตามที่ตนเคยถูกอบรมมา โลกปัจจุบันมันเปลี่ยนไปมากแล้วนะ มันไม่โบราณแบบเดิมแล้ว (นะโว้ย)

อยากเตือนคุณประยุทธ์ไว้ล่วงหน้า ตอนนั้นพวกท่านก็ถลำลึกไปทะเลาะกับคนรุ่นใหม่มากถึง 6 ล้านคน จนกลายเป็นคะแนนพรรคอนาคตใหม่ไปแล้ว มาตอนนี้ท่านจะแถมทะเลาะกับเด็กมัธยมอีกหรือ กลัวจะไม่ถึง 10 ล้านหรือยังไง สำหรับผมยังไงก็เลือกข้างเด็กแน่นอน วันข้างหน้าถ้าหลานๆมันลงถนนกัน พวกผมคงต้องลงตามไปดูแลอย่างแน่นอน”

รัฐมนตรียี้-ซูเปอร์ฮีโร่ยี้

ภาพการเมืองไทยวันนี้แม้แต่เด็กนักเรียนก็ยังมองเห็นถึงระบบการเมืองที่อัปลักษณ์ภายใต้ “เผด็จการประชาธิปไตย” เพื่อการสืบทอดอำนาจ “ระบอบ คสช.” ที่มีการวางกลไกต่างๆไว้ในรัฐธรรมนูญ โดยไม่สนใจว่าจะถูกประณามว่าอัปลักษณ์และอัปยศอย่างไร การเลือกนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลจึงตามมาด้วยเสียง “ยี้” ซึ่ง “นิเคอิ” สื่อยักษ์ของญี่ปุ่น ก็ลงข่าวเปรียบเทียบการเมืองไทยกับยุครัฐบาลซูฮาร์โตว่า การเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังกลับไปสู่การกดขี่

ขณะที่นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงพรรคร่วมรัฐบาลที่มีรายชื่อว่าที่รัฐมนตรีหลายคนถูกเสนอชื่อเพราะเป็นญาติพี่น้อง หลายคนมีคดีพัวพันทุจริต และหลายคนไม่มีความรู้ความสามารถที่จะเป็นรัฐมนตรีว่าเป็น “รัฐมนตรียี้” สอดคล้องกับผลสำรวจของนิด้าโพล (16 มิถุนายน) ที่ประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่าบุคคลที่ไม่ควรดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมากที่สุด ได้แก่ บุคคลที่มีข่าวหรือภาพลักษณ์ไม่โปร่งใส ไม่ซื่อสัตย์ รองลงมา ไม่มีความรู้ความสามารถเหมาะสมกับตำแหน่ง และอาจมีผลประโยชน์ทับซ้อน เช่น มีธุรกิจหรือมีคนในครอบครัว ญาติพี่น้อง ทำธุรกิจเกี่ยวพันกับกระทรวงที่จะเข้าไปดูแล ทำให้สังคมมองทางลบที่มีรัฐมนตรียี้

นางลดาวัลลิ์กล่าวว่า แต่ยังไม่เป็นปัญหามากเท่ากับ พล.อ.ประยุทธ์จะต้องไม่ยี้อย่างเด็ดขาด เพื่อจะได้ควบคุมกำกับรัฐมนตรียี้ให้อยู่ในร่องในรอยให้ได้ แต่ 5 ปีที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ใช้อำนาจเผด็จการเอาแต่ใจตัวเอง แสดงกิริยาก้าวร้าว มีพฤติกรรมเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตย มีหลานชายจดทะเบียนตั้งบริษัทในค่ายทหาร ใช้มาตรา 44 พร่ำเพรื่อ หากพฤติกรรมไม่เปลี่ยน พล.อ.ประยุทธ์ก็จะเป็น “ซูเปอร์ฮีโร่ยี้” ของ ครม. ทำให้ภาพลักษณ์ของ ครม. ตกต่ำ หมดความนับถือจากประชาชน และจะเกิดวิกฤตศรัทธาทั้งในและต่างประเทศ

นายกฯตุหรัดตุเหร่

ขณะที่นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ เปิดประเด็นในแง่กฎหมายใหม่ว่า สถานะของ พล.อ.ประยุทธ์ขณะนี้ไม่สามารถเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี คสช. ได้ เพราะรัฐธรรมนูญพิสดารพันลึกได้กำหนดกลไกที่เอื้อต่อการสืบทอดอำนาจ คสช. ชนิดที่เรียกได้ว่าคนแบบ พล.อ.ประยุทธ์สามารถเป็นได้ทุกอย่าง ครองอำนาจอย่างต่อเนื่องแบบไร้รอยตะเข็บ

ก่อนหน้านั้น พล.อ.ประยุทธ์มีสองร่าง ได้แก่ หัวหน้า คสช. จากรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 และนายกรัฐมนตรีจากรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ยามใดอยากมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดก็หันไปสวมร่างหัวหน้า คสช. เพื่อใช้อำนาจตามมาตรา 44 ยามใดอยากเข้าเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารนั่งหัวโต๊ะประชุมคณะรัฐมนตรีก็หันไปสวมร่างนายกรัฐมนตรีใช้อำนาจตามกฎหมายตามระบบปกติ

วันที่ 9 มิถุนายน 2562 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 158 ของรัฐธรรมนูญ 2560 นับแต่นั้น พล.อ.ประยุทธ์จึงมีร่างใหม่ขึ้นมา ปัจจุบัน พล.อ.ประยุทธ์มีสองร่าง ร่างแรกหัวหน้า คสช. จะดับสูญลงเมื่อมีคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 265 ร่างที่สองนายกรัฐมนตรีตามกระบวนการได้มาตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 158 มาตรา 159 และมาตรา 172

ส่วนร่างเดิมคือตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ 2557 ที่ครองไว้ตั้งแต่ 24 สิงหาคม 2557 ย่อมสิ้นสุดลงเมื่อมีพระบรมราชโองการแต่งตั้ง พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีวันที่ 9 มิถุนายน 2562 พล.อ.ประยุทธ์จึงไม่สามารถครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนเดิมและนายกรัฐมนตรีคนใหม่ได้พร้อมๆกัน

หาก พล.อ.ประยุทธ์จะใช้อำนาจนายกรัฐมนตรีคนใหม่และนั่งหัวโต๊ะประชุมคณะรัฐมนตรีได้ก็ต้องตั้งคณะรัฐมนตรีให้แล้วเสร็จและนำรายชื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ขึ้นทูลเกล้าฯให้พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยแต่งตั้ง แล้วนำคณะรัฐมนตรีทั้งชุดถวายสัตย์ปฏิญาณจึงจะปฏิบัติหน้าที่ได้

พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคณะรัฐมนตรีชุดนี้แล้ว จะเป็นรักษาการนายกฯก็ไม่ได้ เพราะมีตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่สมบูรณ์ตามรัฐธรรมนูญตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2562 ณ เวลานี้จึงไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ใดๆได้เลย แต่สัปดาห์ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ยังเข้าประชุมคณะรัฐมนตรี และสัปดาห์นี้ก็ยังเข้าประชุมคณะรัฐมนตรีอีก และจะเข้าร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 34 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพอีกด้วย ตลอดจนการลงนามของ พล.อ.ประยุทธ์ในฐานะนายกรัฐมนตรีในเอกสาร คำสั่งต่างๆ ย่อมตกเป็นโมฆะ ไม่มีผลทางกฎหมาย เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ปราศจากอำนาจอย่างชัดแจ้ง

ปัญหาการตั้งคณะรัฐมนตรีไม่ได้ แบ่งเค้กไม่เสร็จ ส่งผลให้ พล.อ.ประยุทธ์กลายเป็น “นายกฯตุหรัดตุเหร่” เป็นนายกรัฐมนตรีแต่ทำงานไม่ได้ ถ้า พล.อ.ประยุทธ์อยากทำงานในฐานะนายกรัฐมนตรีได้ต้องจัดการแบ่งเค้กเก้าอี้รัฐมนตรีให้เสร็จโดยเร็ว นี่คือสิ่งที่คนเขียนรัฐธรรมนูญ 2560 ไม่ได้คาดคิดไว้ สุดท้ายรัฐบาลชุดใหม่จะเป็นรัฐบาล “สหพรรค-เสียงปริ่มน้ำ” จนเกิดปัญหาการแบ่งเก้าอี้กันยากขนาดนี้

“ส.ว.ลากตั้ง” ตรรกะศรีธนญชัย

ปัญหารัฐธรรมนูญที่พิสดารพันลึกและอัปลักษณ์จนผู้เขียนก็คาดไม่ถึง มีปัญหาที่ตามมาหลายประเด็น รวมถึงการสรรหา ส.ว.ลากตั้ง 250 คนที่เป็นเหมือน “องครักษ์พิทักษ์ระบอบ คสช.” และ “สภาวงศาคณาญาติ” ก็ส่อว่าจะขัดรัฐธรรมนูญและเป็นโมฆะถ้าไม่มีการบิดเบือนหรือสร้างอภินิหารทางกฎหมาย

โดยเฉพาะคำชี้แจงของนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ด้วย “ตรรกะศรีธนญชัย” ว่า คำสั่ง คสช. ตั้งกรรมการสรรหา ส.ว. ไม่ผิด คำสั่ง คสช. ไม่มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา คำสั่งดังกล่าวเป็นเพียงคำสั่ง ไม่ใช่กฎหมาย ไม่จำเป็นต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นเรื่อง “ภายใน” ไม่เกี่ยวอะไรกับประชาชน จึงไม่มีความจำเป็นจะต้องเปิดเผยรายละเอียดให้ประชาชนรู้ว่าสมัครกับใคร ที่ไหน อย่างไร

นายสุทธิชัย หยุ่น เขียนในคอลัมน์ “กาแฟดำ” ระบุว่า ใครฟังก็ต้องตกใจ เพราะ ส.ว. อ้างเป็นตัวแทนของประชาชนที่มีอำนาจกว้างขวาง รวมถึงยกมือเลือกนายกรัฐมนตรี ทำให้มีคำถามว่า

1.คำสั่งที่มาจากอำนาจที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญไม่เป็นกฎหมายได้อย่างไร

2.แม้จะอ้างว่าไม่ใช่ “กฎหมาย” จึงไม่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เหตุไฉนคำประกาศอื่นๆของ คสช. จึงไม่ได้มีข้อยกเว้นเช่นนั้น

3.พูดได้อย่างไรว่าการแต่งตั้ง ส.ว. “ไม่เกี่ยวกับประชาชน” ทั้งที่ ส.ว. กินเงินเดือนที่มาจากภาษีประชาชน และมีอำนาจเกี่ยวกับการออกกฎหมายที่มีผลกระทบต่อประชาชนอย่างกว้างขวาง

4.อ้างได้อย่างไรว่าเมื่อประชาชนไม่มีส่วนจะมาสมัครอะไรทั้งสิ้น การจะรู้หรือไม่รู้ว่าใครเป็นกรรมการสรรหาไม่ทำให้ประชาชนได้เปรียบเสียเปรียบ แต่ประเด็นอยู่ที่สิทธิของประชาชนภายใต้รัฐธรรมนูญที่จะต้องรู้ว่าใครเป็นคณะกรรมการสรรหา เพื่อจะได้รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร มีเกณฑ์การเลือกสรรอย่างไร เพราะพวกเขาอ้างว่าเป็น “ตัวแทนของประชาชน” เช่นกัน

นายสุทธิชัยย้ำในตอนท้ายว่า การอ้างตรรกะเพี้ยนๆอย่างนี้เป็นการดูถูกสติปัญญาของประชาชน และเป็นการสร้างบรรทัดฐานที่ผิดหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยโดยสิ้นเชิง

“ส.ว.เพื่อตู่” ประชาชนไม่เกี่ยว

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊ค (16 มิถุนายน) ว่า “เลือก #ส.ว.ไม่เกี่ยวกับประชาชนจริงๆค่ะ แค่ใช้เงินประชาชนไป 1,300 ล้าน เพื่อไปคัดสรร #ส.ว.เพื่อตู่ มาอย่างยากลำบาก จนได้ญาติพี่น้องบริวารมาเป็น #ส.ว.เพื่อตู่ เต็มสภา ยิ่งกว่าที่เคยประณาม ส.ส.ผัวเมีย

ประกาศ คำสั่ง หลักเกณฑ์การคัดเลือก ส.ว. ไม่ต้องลงราชกิจจานุเบกษา ผลประโยชน์ทับซ้อนตรงไหน? แค่กรรมการคัดสรรผลัดกันเลือกตัวเองและเลือกตามโผ เพื่อให้ได้ #ส.ว.เพื่อตู่ 250 คน ไปยกมือเลือกตู่อย่างพร้อมเพรียงกันตามโผเท่านั้น

#ส.ว.เพื่อตู่ มีวาระ 5 ปี กินเงินเดือนจากภาษีประชาชนคนละ 113,560 บาทต่อเดือน บวกค่าทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ผู้ชำนาญการ รวมเงินเดือนที่ต้องจ่ายให้ #ส.ว.เพื่อตู่เพียงคนละ 242,560 บาทต่อเดือน เบ็ดเสร็จแล้วคนไทยต้องจ่ายภาษีเพื่อเป็นเงินเดือนให้ #ส.ว.เพื่อตู่ 250 คน พร้อมทีมงานรวมเดือนละ 60,640,000 บาท รวม 5 ปี แค่ 3,600 ล้านบาท

“เลือก ส.ว.#ประชาชนไม่เกี่ยว แค่ก้มหน้าก้มตาทำงานหาเงินมาจ่ายภาษีให้ #ส.ว.เพื่อตู่ เท่านั้น  #ส.ว.เพื่อตู่ 250 คน สามารถเลือกตู่กลับมาเป็นนายกฯได้อย่างน้อย 2 สมัย 8 ปีเท่านั้นเอง เพราะ #ส.ว.เพื่อตู่ มีวาระ 5 ปี

#ส.ว.ไม่เกี่ยวกับประชาชนจริงๆค่ะ เพราะว่าคนเลือกนายกฯคือประชาชนเจ้าของอำนาจ แล้ว ส.ว. มายุ่งอะไรคะ ตัวเองยังไม่ยอมให้ประชาชนเลือกเลยค่ะ #ส.ว.ตู่ตั้ง #ส.ว.เพื่อตู่ #ประชาชนไม่เกี่ยว จะมาบ่นอะไร?”

องครักษ์พิทักษ์ระบอบ คสช.

น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีต ส.ว. โพสต์เฟซบุ๊คถึงกระบวนการทำงานของ 250 ส.ว. ว่าเป็น “องครักษ์พิทักษ์ระบอบ คสช.” เป็นพรรคของ คสช. ที่มีความเป็นปึกแผ่นในการโหวต ไม่เป็นเบี้ยหัวแตกเหมือน ส.ส. 500 คน ที่มาจากพรรคการเมืองถึง 27 พรรค รัฐธรรมนูญออกแบบมาเพื่อพิทักษ์ระบอบ คสช. หรือระบอบผูกขาดอำนาจ โดย 250 ส.ว. ทำหน้าที่ 3 ประการคือ 1.การโหวตให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีต่อ 2.เป็นกลไกสกัดการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามมาตรา 256 เพราะแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 1 และวาระ 3 ต้องมี ส.ว. เห็นชอบไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของ 250 ส.ว. คือไม่น้อยกว่า 83 คน หาก ส.ว. ไม่ยกมือให้ การแก้ไขรัฐธรรมนูญก็เป็นไปไม่ได้

3.เห็นชอบผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งเคยถูกออกแบบมาเพื่อตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐของฝ่ายบริหาร โครงสร้างทั้งหมดจึงผูกโยงกับระบอบ คสช. ทำให้องค์กรตามรัฐธรรมนูญทั้งหลายอาจกลายเป็นเพียง “องค์กรตรายาง” ตามรัฐธรรมนูญเพื่อพิทักษ์การใช้อำนาจของรัฐบาล

250 ส.ว. จึงเป็นโครงสร้างที่ทำให้กลไกการตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจรัฐของฝ่ายบริหารกลายเป็นหมัน แต่อาจเป็นอาวุธที่ทรงพลานุภาพในการตรวจสอบฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล ทั้งที่บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญมาตรา 114 บัญญัติว่า “ส.ส. และ ส.ว. เป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย ไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมายหรือความครอบงำใดๆ และต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวม โดยปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์”

แต่ 250 ส.ว. ถูกเลือกโดย คสช. กลายเป็น ส.ว.พันธสัญญา Contract Senator หรือเรียกให้ชัดเจนคือ Soldier Contract Senator ทั้งแต่งตั้งกรรมการสรรหาที่ส่วนใหญ่มาจากทหาร ไม่ได้แต่งตั้งผู้มีความรู้และประสบการณ์หลากหลายตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ และยังเลือกกรรมการสรรหาหลายคนเป็น ส.ว. ถือเป็นเรื่องขัดต่อมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง จึงเข้าข่ายขัดต่อรัฐธรรมนูญ

นอกจากนี้ตาม พ.ร.บ.ป.ป.ช. มาตรา 172 คณะกรรมการ ป.ป.ช. สามารถไต่สวนตามมาตรา 28 หากพบว่ามีการใช้อํานาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง หากการไต่สวนพบว่ามีมูล ป.ป.ช. จะต้องเสนอต่อศาลฎีกาให้พิจารณา หากศาลฎีการับคำร้องบุคคลนั้นต้องหยุดการปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะมีคำพิพากษา ถ้ามีความผิดบุคคลนั้นจะถูกเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งและไม่มีสิทธิดำรงตำแหน่งทางการเมือง

ถ้า ส.ว. และองค์กรอิสระทั้งหลายถูกครอบงำโดย คสช. ผ่านโครงสร้างรัฐธรรมนูญ สังคมย่อมไม่อาจคาดหวังการตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจรัฐของฝ่ายบริหารอย่างแท้จริง ฉายา “รัฐธรรมนูญปราบโกง” ก็เป็นเพียงฉายาอันว่างเปล่า

ยื่นอัยการสูงสุด“ส.ว.ลากตั้ง”โมฆะ

พรรคเพื่อไทยเตรียมยื่นญัตติให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนกระบวนการตั้งกรรมการสรรหา ส.ว. ขณะที่เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย ได้ยื่นคำร้องไปยังอัยการสูงสุดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ว่าเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ เพราะการเลือก ส.ว. 194 คนโดยคณะกรรมการสรรหา หากเทียบเคียงกับการเลือก ส.ว. 50 คนโดย กกต. จะเห็นว่ามีสองมาตรฐานอย่างชัดเจน

การเลือก ส.ว. 50 คน ประกาศเป็นพระราชกฤษฎีกา มีการออกระเบียบ กกต. ลงในราชกิจจานุเบกษาตามขั้นตอนที่รัฐธรรมนูญกำหนดบังคับไว้ แต่การเลือก ส.ว. 194 คน กลับปกปิดรายชื่อกรรมการสรรหา ไม่มีการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ และกรรมการบางคนยังออกมาแถแบบข้างๆคูๆว่าเป็นเรื่องภายใน ประชาชนไม่เกี่ยวอีกด้วย

นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา แกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการสรรหา ส.ว. ว่า พอเปิดเผยออกมาสังคมงงเป็นไก่ตาแตก ถามว่ามีคุณธรรมจริยธรรมหรือไม่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประธานคณะกรรมการสรรหา กำลังจะมาเป็นรองนายกรัฐมนตรี ทหารที่เป็นกรรมการสรรหาก็เป็น ส.ว. เอง หรือญาติพี่น้อง ส.ว. เอง ถามว่านี่คือวุฒิสภาหรือสภาวงศาคณาญาติและบริวารกันแน่ อีกทั้งยังไม่ยอมประกาศบัญชีสำรองของ ส.ว.แต่งตั้ง ทั้งที่เปิดบัญชีสำรองของกลุ่มอาชีพได้

ทุกคนกินข้าวเหมือนนายวิษณุ ไม่ได้กินหญ้า ทำไมจึงมีการลงประกาศลงวันที่ย้อนหลัง ทำไมจึงทำไม่เหมือนกัน ที่สำคัญคือการมีชื่อเลขาธิการ กกต. อยู่ในบัญชีสำรองอันดับ 8 รวมอยู่ด้วย ทั้งที่มีหน้าที่ต้องดูแลการเลือกตั้ง จะบอกว่าเสนอชื่อโดยที่เลขาธิการ กกต. ไม่รู้เรื่องไม่ได้ ความหวังของสังคมอาจไม่แย่เหมือนที่ผ่านมา แต่มีความเป็นจริงที่น่าเป็นห่วง

สังคมไทยย้อนกลับไปถึง 72 ปี

ผศ.ดร.ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ นักประวัติศาสตร์ผู้ค้นคว้าและเขียนวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก เรื่อง “บทบาททางการเมืองของจอมพลถนอม กิตติขจร พ.ศ. 2506-2516” และผู้เขียนหนังสือ “2475 และ 1 ปีหลังการปฏิวัติ (1932 Revolution and Aftermath)” ให้สัมภาษณ์ UDD News ว่า 250 ส.ว.ลากตั้งเท่ากับ 50% ของ ส.ส. สะท้อนว่าคณะรัฐประหารหรือคณะทหารต้องการดึงสังคมไทยย้อนกลับไปถึง 72 ปี เพราะ ส.ว. ที่มาจากการแต่งตั้งเริ่มปรากฏตัวครั้งแรกจากการรัฐประหารเดือนพฤศจิกายน 2490

เมื่อคิดถึง 72 ปีที่แล้ว เราคงคิดถึงไอ้ขวัญและอีเรียมเล่นน้ำในคลองแสนแสบ เป่าขลุ่ย นั่งควาย ซึ่งตอนนี้ทุ่งบางกะปิเปลี่ยนไปหมดแล้ว มันเหมือนกับว่าคุณพยายามจะฟรีซสังคมไทยให้อยู่ใน “สังคมเกษตร” ที่ไม่มีเครื่องมือสื่อสารกัน มีแต่ควายลุยน้ำ คนนั่งเป่าขลุ่ย มันเป็นไปไม่ได้

ฉะนั้น ส.ว. ที่มีอยู่ตอนนี้เป็นภาพสะท้อนว่า กลุ่มผลประโยชน์ กลุ่มอำนาจได้พยายามที่จะรักษาอำนาจไว้อย่างไม่เสื่อมคลาย โดยได้พยายามฝืนสังคมไทยให้ย้อนยุคกลับไปถึง 72 ปี สะท้อนความตกรุ่น สะท้อนความคิดที่โบราณมากในทางการเมือง เป็นความพยายามรักษาอำนาจไว้กับชนชั้นนำที่เคยเป็นชนชั้นนำในรอบ 70 กว่าปีที่ผ่านมา

นักการเมืองเป็นนั่งร้านให้เผด็จการ

นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ได้อภิปรายในงาน 70 ปีสถาปนาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ “วิชาการเพื่อราษฎร์ ศาสตร์เพื่อประชาธิปไตย” (14 มิถุนายน) ถึงวิกฤตการเมืองไทยว่า ไม่ใช่วิกฤตครั้งใหม่ แต่เป็นวิกฤตเดิมที่มีจุดเริ่มต้นตั้งแต่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นวิกฤตจนถึงวันนี้ ซึ่งใจกลางปัญหาไม่ได้อยู่ที่บุคลิกหน้าตาหรือท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ แต่อยู่ที่อำนาจในประเทศนี้เป็นของใคร

20 ปีที่ผ่านมามีรัฐธรรมนูญ 5 ฉบับ เพราะตกลงกันไม่ได้ว่าอำนาจของประเทศอยู่ที่ใคร ฝั่งหนึ่งยืนยันหนักแน่นว่าอำนาจของประเทศนี้เป็นของประชาชน ขณะที่อีกฝั่งมีผู้สนับสนุนน้อยกว่า แต่เชื่อว่าอำนาจในประเทศนี้เป็นของอภิสิทธิ์ชนเพียงไม่กี่คน ซึ่งคนกลุ่มนี้มีอำนาจปืน มีรถถัง ถือตราชั่งทางกฎหมาย นี่คือปัญหาใจกลางของสังคมไทยที่ยังแก้ไม่ได้

นายธนาธรชี้ว่า ขณะนี้เข้าสู่ 2 ชุดความคิด สมรภูมิความคิดเป็นสมรภูมิเดิม แต่สมรภูมิทางการเมืองเปลี่ยนไป โดยไม่มีองค์กรที่ชื่อว่า คสช. แต่ “ระบอบ คสช.” จะยังอยู่ ฝั่งที่เชื่อว่าอำนาจเป็นของประชาชนจะแพ้ได้อย่างไร เห็นการตื่นตัวทางสังคมและการเมืองถูกปลุกขึ้น เห็นได้จากพานไหว้ครูซึ่งน่าเหลือเชื่อ เพราะทุกปีมีคนบรรลุนิติภาวะปีละ 700,000 คน ซึ่งสิ่งที่เขาเห็นคืออะไรและได้แสดงออกมาแล้ว

การข่มขู่เรื่องพานไหว้ครูไม่ใช่เรื่องใหม่ เช่นเดียวกับงานแปรอักษร การตรวจสอบการทุจริตอุทยานราชภักดิ์ที่ถูกไล่ล่าดำเนินคดี วันนั้นไม่มีฝ่ายค้าน แต่วันนี้มี หน้าที่ของเราคือการปกป้องสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ซึ่งมี ส.ส. มากพอที่จะเสนอกฎหมายเข้าไปในสภาได้ โดยเรื่องแรกที่จะทำคือ แก้รัฐธรรมนูญมาตรา 272 และ 279 ในเรื่องอำนาจของ ส.ว. และคำสั่ง คสช. มีอำนาจชั่วกัลปาวสาน หลังจากนั้นจะรณรงค์การปฏิรูปกองทัพ ยุติการเกณฑ์ทหาร ยุติระบบราชการรวมศูนย์และการกระจายอำนาจ

นายธนาธรยังตั้งคำถามว่า ต้นตอของความขัดแย้งคือคนเรียกร้องประชาธิปไตยหรือคนที่ขโมยอำนาจไปแล้วไม่คืน อำนาจควรเป็นของคนไทยทุกคนและต้องได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งประเทศไทยเคยเป็นดวงประทีปแห่งความหวังของประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนของอาเซียน นักการเมืองที่ไปเป็นนั่งร้านให้เผด็จการไม่ต้องโอ้อวดว่าเกิดเดือนตุลาคมปีไหน ทำไมจึงไปสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ทำไมไม่กล้าพูดเรื่องจริงว่าคนที่เป็นปัญหาของความขัดแย้งไม่ใช่คนที่ลุกขึ้นมาทวงสิทธิและเสรีภาพ แต่เป็นคนที่ขโมยอำนาจมาแล้วเขียนรัฐธรรมนูญให้อำนาจอยู่กับเขาไปตราบนานแสนนาน ปล่อยให้คนพวกนี้ตีกินเรื่องความขัดแย้งไม่ได้

“ส่วนคำถามว่าจะเกิดรัฐประหารอีกหรือไม่นั้นสุดวิสัยที่ผมจะตอบได้ แต่หากเกิดขึ้นอีก ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนทุกคนให้ลุกขึ้นมาต่อสู้ ต่อต้านการรัฐประหารไปด้วยกัน ศตวรรษที่ 21 ไม่ควรเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกแล้ว”

“กิเลสมนุษย์” สารพัดยี้

ท่ามกลางการต่อรองและแย่งชิงตำแหน่งรัฐมนตรี พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบกที่เคยแนะนำให้นักการเมืองฟังเพลง “หนักแผ่นดิน” ล่าสุด (18 มิถุนายน) พล.อ.อภิรัชต์เปรยกับคนใกล้ชิดและผู้รู้จักคุ้นเคยแนะให้ไปฟังเพลง “กิเลสมนุษย์” ของธานินทร์ อินทรเทพ ที่ถึงแม้ย้อนยุคแต่อาจเข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน

เนื้อเพลง “กิเลสมนุษย์” มีความหมายถึงคนจะรวยจะจนก็เป็นคนเหมือนกัน คนทำชั่วหรือทำดีจะมีผลถึงวงศ์ตระกูล กิเลสของคนที่หนาถ้าไม่รู้จักระงับยับยั้งใจ เหล็กเพชรที่ว่าแกร่งแข็งแค่ไหนยังแพ้เงินฟาด เกลือที่เค็มยังหวานฉ่ำด้วยลิ้นสอพลอ คำหวานที่รื่นของคนมีพวกมากลากไป มือใครยาวก็สาวได้สาวเอา ฯลฯ

ขณะที่เว็บไซต์ iLaw ได้รายงานว่า ผู้บัญชาการเหล่าทัพที่เป็น ส.ว. ได้แก่ ปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ ซึ่งตามรัฐธรรมนูญปี 2560 ไม่สามารถเป็นข้าราชการพร้อมๆกันได้ ถือเป็นลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 108 ข. (2) นอกจากนี้มาตรา 184 (1) ยังกำหนดด้วยว่า ส.ว. ต้องไม่ดํารงตําแหน่งหรือหน้าที่ใดในหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ หรือตําแหน่งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น

แต่บทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญกำหนดให้ ส.ว. ในวาระเริ่มแรก ให้ 6 ผู้บัญชาการเหล่าทัพดำรงตำแหน่ง ส.ว. ได้ ทำให้ผู้นำเหล่าทัพได้รับเงิน 2 ทางคือ เงินจากตำแหน่งข้าราชการการเมืองอย่างน้อย 113,650 บาท และเงินจากข้าราชการประจำอย่างน้อย 120,030 บาท ทั้งผู้นำเหล่าทัพที่รับตำแหน่ง ส.ว.ปัจจุบัน (ปี 2562) ยังดำรงตำแหน่งสมาชิก คสช. ซึ่งได้รับค่าตอบแทนอย่างน้อย 119,920 บาท รวมถึงตำแหน่งในคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติได้รับค่าเบี้ยประชุมครั้งละ 6,000 บาท รวมๆแล้วเดือนละเกือบ 400,000 บาท ยังไม่นับรายได้จากกรรมการรัฐวิสาหกิจซึ่งมีจำนวนไม่น้อยเช่นกัน

ร.ท.หญิง สุณิสา ทิวากรดำรง รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พล.อ.อภิรัชต์ควรเปิดเพลงนี้ให้ตัวเองฟังเป็นอันดับแรก และควรเปิดให้ พล.อ.ประยุทธ์และเครือข่ายสืบทอดอำนาจฟังด้วย เพื่อเตือนสติให้เลิกนำกองทัพมาแทรกแซงการเมืองและเลิกหมกมุ่นเรื่องการรัฐประหารเสียที เพราะเป็นต้นเหตุให้บ้านเมืองล้าหลัง อย่าปล่อยให้กิเลสหรือความทะเยอทะยานทางการเมืองมีอำนาจเหนือจิตใจจนเสพติดการยึดอำนาจ เพราะหลังรัฐประหารสำเร็จก็ได้ดีมีตำแหน่งใหญ่โตตามใจชอบ นั่งควบหลายตำแหน่งก็ทำได้เพราะมีอำนาจพิเศษ

ไม่เกี่ยวกับประชาชน?

การเมืองภายใต้ “เผด็จการประชาธิปไตย” และผู้นำหน้าเดิม ตอกย้ำว่าวิกฤตบ้านเมืองและความขัดแย้งจะยังอยู่ไปอีกนาน บ้านเมืองยังอยู่ในกะลาที่ “กลุ่มอำนาจนิยมลายพราง” เป็นใหญ่ แม้หลายฝ่ายมองว่ารัฐบาลใหม่จะอยู่ได้ไม่นาน เพราะการแย่งชิงตำแหน่งและอำนาจจะเป็น “คลื่นใต้น้ำ” ต่อไปไม่สิ้นสุด รัฐมนตรีหลายคนก็มีเสียงยี้ รวมถึงการใช้ “สภา 500” ดันก้น “ลุงตู่” นั่งในอำนาจต่อ

ขณะที่การเลือกตั้งผ่านไปเกือบ 3 เดือนยังตั้งรัฐบาลไม่ได้ เพราะการต่อรองและแย่งชิงตำแหน่ง อีกทั้งภาพลักษณ์ของนักการเมืองที่อ้างประชาชนแต่กลับทรยศประชาชน สอดคล้องกับโพลต่างๆ อย่างผลสำรวจ “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ คนส่วนใหญ่เห็นว่า บุคคลใน “รัฐบาลตู่ 2” มีภาพลักษณ์ในอดีตไม่โปร่งใส ไม่ซื่อสัตย์ ไม่ควรทำหน้าที่รัฐมนตรี

ผลสำรวจ “สวนดุสิตโพล” ระบุว่าคนส่วนใหญ่ส่ายหน้าพรรคร่วมรัฐบาลที่แบ่งกระทรวง มีแต่แย่งตำแหน่งเพื่อผลประโยชน์ ขัดแย้ง วุ่นวาย ทำให้ “รัฐบาลตู่ 2” มีที่มาไม่สง่างาม

ผลสำรวจ “ซูเปอร์โพล” คนส่วนใหญ่ระบุว่าความเป็นธรรมทางการเมืองมีน้อยถึงไม่มีเลย ทั้งให้เร่งแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน เพราะสภาวะการเมืองที่อ่อนแอจะส่งผลเป็นลูกโซ่ถึงระบบทางสังคม (Social System) ในมิติอื่นๆจนยากจะเยียวยา

การทำพานไหว้ครูและขบวนพาเหรดของนักเรียนที่ล้อเลียนการเมืองตอกย้ำถึง “ประเทศกูมีในกะลา” ภายใต้ “เผด็จการประชาธิปไตย” และ “รัฐบาลซูเปอร์ฮีโร่ยี้” ที่นักการเมืองทรยศประชาชนเป็นนั่งร้านให้เผด็จการ ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ตำแหน่งและอำนาจ รวมหัวกันบิดเบือนรัฐธรรมนูญและกฎกติกา แถมยังตะแบงว่า “ประชาชนไม่เกี่ยว”

หนังสือ “Animal Farm” และเพลง “กิเลสมนุษย์” นั้นน่าจะนำมาให้ “รัฐบาลตู่ 2” ที่ดันทุรังตั้งรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำอ่านและฟัง รวมถึง “ผู้นำกองทัพ” ก็ควร “ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงา” ตัวเองด้วย เพราะแม้แต่เด็กนักเรียนยังร้อง..ยี้!!??

 


You must be logged in to post a comment Login