วันเสาร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

เบี้ยวเจอของจริง

On March 27, 2018

 

คอลัมน์ : โลกวันนี้มีประเด็น

การเคลื่อนไหวของกลุ่มคนอยากเลือกตั้งช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาถือว่าน่าสนใจ ขนาดแกนนำเป็นเพียงคนรุ่นใหม่ยังมีมวลชนเข้าร่วมจำนวนมาก การเคลื่อนขบวนไปปราศรัยถึงหน้ากองบัญชาการกองทัพบกโดยไม่เกรงกลัวต่อคดีความที่จะตามมาย่อมแสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ใกล้สุกงอมเต็มทีแล้ว แน่นอนว่าจะมีการเคลื่อนไหวเพื่อเลี้ยงกระแสฉายหนังตัวอย่างต่อไปไม่ให้กล้าเบี้ยวเลือกตั้งเหมือนหลายครั้งที่ผ่านมา ทำให้คนที่กำลังมองหาเทคนิคกฎหมายที่จะเบี้ยวต้องคิดหนัก เพราะถ้าเลื่อนเลือกตั้งอีกเป็นไปได้ว่าโดนม็อบใหญ่ขับไล่แน่

สัปดาห์นี้จะเป็นอีกหนึ่งสัปดาห์ที่การเมืองจะมีการเคลื่อนไหวค่อนข้างมาก

เริ่มตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคมนี้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะประชุมร่วมกับแกนนำพรรคการเมืองเก่าที่มีอยู่เดิมเพื่อชี้แจงทำความเข้าใจในขั้นตอนทางกฎหมาย ก่อนที่จะเริ่มเช็กชื่อสมาชิกพรรคตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นไป

การที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใช้มาตรา 44 ให้สมาชิกเป็นผู้ยืนยันเองว่าจะยังเป็นสมาชิกพรรคการเมืองเดิมอยู่หรือไม่แทนการให้พรรคการเมืองเช็กรายชื่อส่ง กกต. เป็นการเปิดทางให้คนที่หมดใจกับต้นสังกัดปัจจุบันเดินออกจากพรรคได้อย่างสบายใจ เพราะแค่ไม่กรอกแบบฟอร์มยืนยันว่ายังอยากเป็นสมาชิกพรรคต่อก็จะเป็นไททันที

ช่วงต้นเดือนหน้าคงได้รู้กันแล้วว่าจะมีคนเด่นคนดังรายใดตบเท้าออกจากต้นสังกัดเดิมบ้าง และจะออกไปสังกัดพรรคเก่าที่มีอยู่ พรรคใหม่ที่เพิ่งตั้งขึ้น หรือจะออกไปสร้างบ้านใหม่เป็นของตัวเอง โดยต้องโฟกัสไปที่ 2 พรรคใหญ่อย่างพรรคเพื่อไทยและประชาธิปัตย์

ถัดจากนั้นวันที่ 29 มีนาคม เป็นวันที่หลายคนรอคอย เพราะถึงวงรอบที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จะต้องประชุมพิจารณาผลสอบเบื้องต้นเรื่องนาฬิกาหรูและแหวนเพชรของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

ผลการประชุมจะออกได้ 3 หน้าคือ 1.ชี้ว่ามีมูล ให้ตั้งคณะกรรมการไต่สวนเพื่อเอาผิด 2.ชี้ว่าไม่มีมูลเพียงพอที่จะเอาผิด ยกคำร้อง หรือ 3.การสอบสวนเบื้องต้นยังไม่สิ้นกระแสความ ทำให้ไม่สามารถลงมติทางหนึ่งทางใดได้ ให้กลับไปรวบรวมหลักฐานเพิ่มเติม โดยเฉพาะข้อมูลจากพยานปากสำคัญ 2 ปาก และข้อมูลจากบริษัทเอกชนนำเข้านาฬิกาที่ยังไม่ได้มาให้ข้อมูล

แม้ยังไม่รู้ว่าผลจะออกมาอย่างไร แต่ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. ที่เคยมีความใกล้ชิดกับ “บิ๊กป้อม” ประกาศถอนตัวจากการเป็นองค์ประชุมร่วมพิจารณาตัดสินเรื่องนี้ โดยปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกรรมการ ป.ป.ช. ที่เหลือเป็นผู้พิจารณา

มองด้านบวกเป็นการแสดงสปิริต เพราะเมื่อมีข้อครหาเรื่องความใกล้ชิดกันมาก่อนก็ต้องถอนตัวจากการร่วมประชุมชี้ขาด มองอีกด้านก็เป็นการเซฟตัวเอง เพราะเกิดจับพลัดจับผลูเสียงข้างมากลงมติชี้มูลขึ้นมาจะมองหน้ากันไม่ติด หรือหากใช้สิทธิส่วนตัวลงมติไม่ชี้มูลก็จะตกเป็นจำเลยสังคมได้ การปลีกตัวไม่เข้าร่วมประชุมลงมติจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด

อีกประเด็นที่จะไม่พูดถึงไม่ได้คือการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนอยากเลือกตั้งเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

น่าสนใจว่าขนาดแกนนำไม่ใช่นักเคลื่อนไหวระดับแม่เหล็กยังมีมวลชนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก แถมไม่รู้ว่าไปกินดีหมีมาจากไหนจึงกล้าเคลื่อนขบวนไปตั้งวงปราศรัยกันถึงหน้ากองบัญชาการกองทัพบกเพื่อร้องขอให้กองทัพเลิกสนับสนุน คสช. และให้จัดเลือกตั้งภายในสิ้นปีนี้

มีคำถามชวนคิดคือ หากมีแกนนำระดับแม่เหล็กที่เป็นนักการเมืองหรือแกนนำกลุ่มการเมืองต่างๆมาเดินถือธงนำจะมีคนออกมาร่วมมากขนาดไหน

การที่มีมวลชนออกมาร่วมทั้งที่แกนนำเป็นแค่คนรุ่นใหม่ และกล้าเคลื่อนไหวโดยไม่กลัวต่อคดีความที่จะตามมา ย่อมแสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ใกล้สุกงอมเต็มทีแล้ว

การออกมาเคลื่อนไหวครั้งนี้คงทำให้ใครก็ตามที่กำลังหาเทคนิคกฎหมายเพื่อยื้อเวลาเลือกตั้งออกไปอีกต้องคิดหนัก เพราะจะเป็นการโยนฟืนเข้ากองไฟเร่งให้สถานการณ์สุกงอมมากขึ้น

ทำให้ “บิ๊กป้อม” ต้องออกมายืนยันว่า

“รัฐบาลประกาศชัดเจนเดินตามโรดแม็พ เลือกตั้งกุมภาพันธ์ 2562 และไม่มีอะไรเลยที่จะไม่เลือกตั้ง”

แม้ผู้มีอำนาจยืนยัน แต่การเคลื่อนไหวจะมีต่อไปเพื่อเลี้ยงกระแสป้องกันโดนเบี้ยวเหมือนที่เกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง เปรียบเหมือนหนังตัวอย่างยังไม่ฉายจริง ไม่มีความจำเป็นใดต้องเหยียบคันเร่งมิดเพื่อถอนรากถอนโคนจริงจังในตอนนี้

ขณะที่คนที่เคยคิดจะเบี้ยวคงต้องคิดหนัก เพราะหากเลื่อนเลือกตั้งอีกเป็นไปได้ว่าโดนม็อบใหญ่ขับไล่แน่


You must be logged in to post a comment Login