วันเสาร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

คุมเกมอยู่หมัด

On March 26, 2018

คอลัมน์ : โลกวันนี้มีประเด็น

สถานการณ์การเมืองตอนนี้ต้องบอกว่ากลุ่มถือครองอำนาจอยู่ในปัจจุบันสามารถคุมเกม คอนโทรลทุกอย่างให้เป็นไปตามความต้องการได้เกือบทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการแจ้งเกิดพรรคอนาคตใหม่ พรรคเกรียน และพรรคสามัญชน ที่ช่วยลดมวลชน ลดน้ำหนักการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนอยากเลือกตั้งลงได้มาก เพราะเมื่อส่วนหนึ่งแยกตัวไปทำงานในนามพรรคการเมืองก็ต้องเดินตามกรอบกติกา แนวรบด้านนี้ย่อมอ่อนแรงลงไป ซึ่งทำให้ความมั่นใจกลับคืนมา ดังสะท้อนให้เห็นจากการกล้าใช้อำนาจปลด “สมชัย” โดยไม่กลัวว่าจะเป็นการเติมเชื้อให้ฝ่ายตรงข้าม

การเมืองสัปดาห์นี้สปอร์ตไลท์ฉายโฟกัสไปที่การประชุมคณะกรรมการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หลังจากได้รับรายงานผลสอบเบื้องต้นเกี่ยวกับนาฬิกาหรู 25 เรือนของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่าจะนำเข้าพิจารณาในที่ประชุมหรือไม่ หากพิจารณาจะมีมติออกมาอย่างไร

แต่เท่าที่สังเกตปฏิกิริยาจากต้นเรื่องจากอย่าง “บิ๊กป้อม” แล้วทำให้เชื่อว่าได้เรื่องนาฬิกาหรูคงไม่ได้ข้อสรุปกันในเร็ววันนี้ เพราะยังมีช่องให้ยื้อเวลาออกไปได้อีกเนื่องจากผลสอบเบื้องต้นยังขาดในส่วนคำให้การของพยานปากสำคัญ 2 ปาก และคำให้การในส่วนของบริษัทเอกชนที่นำเข้านาฬิกาจากต่างประเทศ

ความเป็นไปได้คือยังไม่สิ้นกระแสความพอที่จะมีมติอย่างใดอย่างหนึ่งให้ทีมสอบไปสอบปากคำพยานเพิ่มเติมให้ครบถ้วนก่อนส่งกลับมาให้ที่ประชุมป.ป.ช.พิจารณาใหม่

ถ้าผิดไปจากนี้ถือว่าเซอร์ไพรส์มาก

ด้านการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนอยากเลือกตั้งที่ประกอบไปด้วยคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่และนักวิชาการบางส่วนที่ตอนแรกทำท่าว่าจะจุดติด แต่เมื่อมีส่วนหนึ่งแยกตัวไปต่อสู่ในระบบด้วยการตั้งพรรคการเมือง ไม่ว่าจะเป็นพรรคอนาคตใหม่ พรรคสามัญชน หรือพรรคเกรียน น่าจะส่งผลกระทบให้แนวรบด้านนี้ของกลุ่มคนอยากเลือกตั้งอ่อนกำลังลงไป

แม้จะยังมีนัดหมายทำกิจกรรมต่อเนื่องแต่เชื่อว่าพลังของการรวมกลุ่มเคลื่อนไหวจะน้อยลง แต่จะไม่กระทบพลังการนำเสนอทางความคิดที่แม้หลายคนจะแยกตัวไปทำงานในนามพรรคการเมืองแล้ว แต่ยังต้องนำเสนอแนวคิดแนวทางที่สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวเพื่อรักษาระยะกับมวลชนกลุ่มนี้เอาไว้

เพียงแต่การนำเสนอแนวคิดแนวทางดำเนินการจะเป็นไปในลักษณะตามกรอบกติกามากขึ้น ไม่ใช่การนำเสนอแนวคิดแบบหักโค่นด้วยวิธีการใดก็ได้อย่างที่ผ่านมา

เมื่อเป็นอย่างนี้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) คงเบาใจได้มากขึ้น ซึ่งความเบาใจยังได้สะท้อนออกมาจากกรณีการใช้อำนาจปลดนายสมชัย ศรีสุทธิยากร ออกจากการเป็นกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล้าปลดโดยไม่กลัวจะไปเติมมวลชนให้ฝ่ายตรงข้าม กล้าปลดโดยไม่กลัวเพิ่มเชื้อไฟให้ฝ่ายตรงข้ามเอาไปขยายผล

“ไม่น่าจะเอาไม่อยู่  มันไม่ถึงขนาดเป็นบิ๊กสเกลขนาดนั้น เชื่อว่า กฎหมายปรกติก็น่าจะใช้ได้”

เป็นคำกล่าวอย่างมั่นใจของพล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม

ทำให้เชื่อได้ว่าคสช.มั่นใจในระดับหนึ่งว่าชั่วโมงนี้ยังสามารถใช้อำนาจได้อย่างเต็มที่ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกนำไปขยายผลเมื่อฝ่ายตรงข้ามแตกตัวมาเล่นตามกติกาที่กำหนดไว้

นั่นหมายความว่าจะไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรที่จะนำไปสู่การใช้เป็นข้ออ้างเลื่อนหรือล้มเลือกตั้ง พรรคการเมืองไม่ว่าหน้าใหม่หน้าเก่าต่างจิตใจจดจ่อรอให้มีการเลือกตั้ง

หมายความนับจากนี้หากจะมีการเลื่อนหรือล้มเลือกตั้งไม่น่าจะเกิดจากปัจจัยภายนอก แต่เกิดจากปัจจัยภายในหรือความต้องการของ คสช.เอง ส่วนจะเอาอะไรมาเป็นเหตุผลข้ออ้างเมื่อถึงเวลาก็คงต้องมีสักเรื่องที่ยกขึ้นมาได้หากต้องการเลื่อนหรือเลือกตั้งจริง

“ถ้า คสช. ไม่ได้เปรียบ ไม่เชื่อหรอกว่า จะมีการเลือกตั้ง คสช. ต้องมั่นใจว่า จะชนะเพื่อกลับมาสืบทอดอำนาจ ถ้าไม่มั่นใจล้มเลือกตั้งแน่นอน โรดแม็พที่แท้จริง คือการสืบทอดอำนาจยาวนาน คนมันบ้าอำนาจ หลงอำนาจ ต้องรักษาอำนาจให้นานที่สุด การที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) และสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ขัดแย้งกันเรื่องยื่นกฎหมายตีความนั้น ไม่เชื่อว่าไม่รู้ แต่เป็นการกันขึ้นมาไม่ให้เกิดปัญหา วันหนึ่งก็พร้อมจะใช้เป็นเงื่อนไข”

เป็นมุมมองของนายวีระ สมความคิด ประธานกลุ่มพิทักษ์สิทธิเสรีภาพของประชาชน และเลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน (คปต.) ซึ่งก็มีโอกาสเป็นไปได้


You must be logged in to post a comment Login