วันเสาร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

เปิดหน้าล่อเป้า

On March 14, 2018

คอลัมน์ : โลกวันนี้มีประเด็น

จากสถานการณ์ที่บีบให้เกิดกระแสข่าวต้องเอาชื่อ “บิ๊กตู่” มาแปะไว้ในพรรคการเมือง เพราะกระแสต่อต้านนายกฯคนนอกค่อนข้างแรง แม้ทำได้เพราะไม่มีกฎหมายเขียนห้าม แต่เมื่อพิจารณาความน่าจะเป็นทั้งผลการเลือกตั้งและวิธีการเลือกผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในสภา ต้องบอกว่าแทบไม่เกิดประโยชน์อะไรที่จะเปิดหน้าล่อเป้าเอาชื่อไปใส่ไว้ในพรรคการเมือง เพราะจะเข้าทางฝ่ายตรงข้ามใช้ปลุกกระแสโจมตีได้

“ไม่เกี่ยวข้องสักอย่าง ไม่เห็นมีใครเชิญไปเป็นประธานที่ปรึกษา ขอทำงานก่อน ยังมีเวลา อย่างไรก็ตาม ไม่กดดัน ไม่คิดอะไรมาก อยู่ที่ประชาชนจะตัดสินใจ อยู่ที่พรรคการเมืองกำหนดนโยบาย”

ไม่ตอบรับ ไม่ปฏิเสธเสียทีเดียว กับกระแสข่าวมีเทียบเชิญให้ไปนั่งเก้าอี้ประธานที่ปรึกษาพรรคพลังประชารัฐ เพื่อไม่ปิดโอกาสหรือผูกมัดตัวเองสำหรับ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

ขณะที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่เคยคิดเล่นการเมืองหรือเป็นนักการเมือง ยันไม่มีใครพรรคไหนมาทาบทามเข้าพรรค พูดเรื่องนี้มานานแล้ว ถามอีกก็ตอบเหมือนเดิม

ส่วนนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ก็ออกมาปฏิเสธกระแสข่าวที่ว่าร่วมมือกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ตั้งพรรคพลังประชารัฐว่าไม่เป็นความจริง รู้สึกตกใจกับข่าวที่ออกมาเพราะไม่เคยมีใครมาทาบทาม ส่วนตัวไม่เคยเป็นนักการเมืองและไม่เคยเล่นการเมือง แล้วจะมีใครมาทาบทามได้อย่างไร

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะแสดงท่าทีตอบรับ หรือปฏิเสธ หรือยังแทงกั๊ก แต่ประตูสู่ถนนการเมืองยังเปิดกว้างสำหรับบิ๊กๆทั้งหลายที่ถือครองอำนาจอยู่ในตอนนี้ เมื่อมีคำอธิบายจากมือกฎหมายของรัฐบาลอย่างนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ที่ยืนยันว่าไม่มีกฎหมายใดห้ามหัวหน้า คสช. เป็นที่ปรึกษาพรรคการเมือง

ในกฎหมายไม่มีอะไรห้ามไว้ ส่วนจะมีเหตุอย่างอื่นหรือไม่ อย่างไร ไม่ทราบ ไม่รู้เรื่อง และไม่เคยได้ยินด้วย การจะเป็นสมาชิกพรรคการเมืองเป็นได้ ไม่เห็นมีปัญหาอะไร เพราะในกฎหมายไม่ได้เขียนห้ามไว้ เพียงแต่จะไปลงสมัครรับเลือกตั้งไม่ได้ หากจะลงต้องลาออกก่อน”

ชัดเจนว่าไม่มีกฎหมายห้าม ส่วนจะเข้ามามีตำแหน่งในพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งหรือไม่คงต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์

ที่ผ่านมาสถานการณ์ได้บีบให้เกิดกระแสข่าวว่าต้องเอาชื่อ “บิ๊กตู่” มาแปะแขวนไว้ในพรรคการเมือง ไม่ใช่เพื่ออาศัยชื่อเสียงบารมีในการหาคะแนนเสียงกับประชาชน

แต่เพราะกระแสต่อต้านนายกฯคนนอกที่ไม่ได้มาจากฝ่ายการเมืองค่อนข้างแรง จึงต้องการให้สวมเสื้อพรรคการเมืองไว้เพื่อป้องกันการต่อต้าน

หมายความว่าหาก “บิ๊กตู่” อยากเข้าสู่อำนาจตามช่องทางนี้จะต้องเปิดหน้าให้พรรคการเมืองที่สังกัดเสนอชื่อเป็นผู้เข้าชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีอย่างเปิดเผยต่อสาธารณะ

อย่างไรก็ตาม ความไม่ชัดเจนของรัฐธรรมนูญในเรื่องนี้อาจไม่จำเป็นที่ “บิ๊กตู่” ต้องมีชื่อเป็นสมาชิกพรรคการเมืองหนึ่งพรรคการเมืองใดก็ได้ เพราะกฎหมายเขียนเพียงให้พรรคการเมืองเสนอชื่อตัวแทนที่จะชิงตำแหน่งนายกฯ ไม่ได้บอกว่าตัวแทนจะต้องเป็นสมาชิกพรรคนั้นหรือไม่

แต่การเปิดหน้าว่าจะเป็นหนึ่งในผู้ท้าชิงตำแหน่งนายกฯอาจเป็นดาบสองคมในสนามเลือกตั้ง เพราะพรรคการเมืองที่เสนอชื่ออาจถูกปฏิเสธจากประชาชนจนไม่มีตัวแทนเป็น ส.ส. ในสภา ซึ่งหากไม่มี ส.ส. ในสภาก็เท่ากับว่าไม่มีสิทธิเสนอชื่อตัวแทนชิงตำแหน่งนายกฯในการเปิดประชุมสภาครั้งแรก

หรือถ้าพรรคการเมืองที่จะเสนอชื่อ “บิ๊กตู่” ได้เก้าอี้ ส.ส. ในสภา ก็ต้องลุ้นว่าเมื่อมีการลงมติจะได้เสียงสนับสนุนเกินกึ่งหนึ่งหรือไม่ ซึ่งช่องทางนี้คงต้องลุ้นเหนื่อย เพราะใช้เพียงเสียง ส.ส. อย่างเดียวเท่านั้น

หากจะใช้เสียง ส.ว. ที่จะตั้งไว้ก่อนพ้นอำนาจ ต้องรอให้ที่ประชุม ส.ส. ไม่สามารถตกลงกันได้ว่าจะให้ใครเป็นนายกฯ ลงคะแนนแล้วไม่มีใครได้เสียงข้างมาก จึงจะเข้าเงื่อนไขให้ ส.ว. มาร่วมลงมติเลือกนายกฯด้วย

แต่กรณีนี้ต้องใช้เสียงสนับสนุนถึง 2 ใน 3 หรือ 500 จาก 750 เสียง จึงจะเปิดประตูต้อนรับคนนอกมาชิงตำแหน่งนายกฯได้

ไม่ว่าจะเอาชื่อแขวนไว้ในพรรคการเมืองเพื่อชิงเก้าอี้นายกฯตามช่องทางที่หนึ่ง หรือนั่งรอให้มีคนเสนอชื่อชิงเก้าอี้นายกฯตามช่องทางที่สอง ไม่มีช่องทางไหนง่ายสำหรับการกลับคืนสู่อำนาจหลังเลือกตั้ง

เมื่อดูตามความน่าจะเป็นนี้แล้ว ไม่เกิดประโยชน์อะไรที่จะเปิดหน้าล่อเป้าเอาชื่อไปอยู่ในพรรคการเมือง


You must be logged in to post a comment Login