วันพฤหัสที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

สุขสันต์วันเด็ก(เลี้ยงแกะ) / โดย ทีมข่าวการเมือง

On January 15, 2018

คอลัมน์ : เรื่องจากปก
ผู้เขียน : ทีมข่าวการเมือง

“ผมไม่ใช่ทหาร แต่เป็นนักการเมืองที่เคยเป็นทหาร”

เปิดศักราชปีจอ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็สร้างความฮือฮาเป็นข่าวพาดหัวสื่อทุกฉบับ ตามด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย ทั้งฝ่ายที่สนับสนุนและเคยสนับสนุนรัฐประหาร ฝ่ายการเมือง ภาคประชาชนและนักวิชาการ เพราะถือเป็นครั้งแรกที่ พล.อ.ประยุทธ์ยอมรับว่าตัวเองเป็น “นักการเมือง” นับตั้งแต่ทำรัฐประหารยึดอำนาจมาเกือบ 4 ปี

พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดแรกของปีเมื่อวันที่ 3 มกราคม โดยกล่าวว่า “วันนี้เป็นวันแห่งความสุข เป็นวันแห่งรอยยิ้ม ผมก็ยิ้มเยอะๆ แต่ก่อนผมยิ้มแล้วหุบเร็ว เพราะเป็นคนไม่ค่อยยิ้มเท่าไร หน้าเป็นแบบนี้ วันนี้ต้องเปลี่ยนแปลง เพราะผมไม่ใช่ทหาร แต่เป็นนักการเมืองที่เคยเป็นทหาร แม้จะติดนิสัยทหารอยู่บ้าง แต่ท้ายที่สุดคือประชาชน และไม่ใช่ประชาชนของผม แต่ประชาชนของประเทศไทย และไม่ใช่ของพรรคไหน ทุกคนเป็นพลเมืองไทยก็ต้องหนุนการเมืองที่ถูกต้อง มีธรรมาภิบาล มีการเลือกตั้งในระบบยุติธรรม มีพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์ มีพรรคการเมืองที่ใช้จ่ายงบประมาณอย่างคุ้มค่าและประหยัด ตรวจสอบได้ และการตรวจสอบเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม อย่าตัดสินกันเองเลยทุกเรื่อง”

ไม่อยากเป็นนายกฯแต่จำเป็นต้องรับผิดชอบ

พล.อ.ประยุทธ์ยืนยันว่า ไม่เคยอยากเป็นนายกรัฐมนตรีเลยตั้งแต่วันแรก จนถึงวันนี้ก็ยังไม่อยากเป็น แต่ด้วยหน้าที่ความจำเป็นจึงต้องรับผิดชอบด้วยชีวิตของตน ทั้งย้ำว่ากรอบเวลาในการเลือกตั้งยังเป็นไปตามโรดแม็พที่วางไว้ ซึ่งขึ้นอยู่กับกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายลูกที่ยังอยู่ในการพิจารณาของ สนช. ตนเองและ คสช. ไม่สามารถสั่งการได้ ทุกอย่างมีขั้นตอนและกระบวนการที่ต้องแปรญัตติและถามความคิดเห็นประชาชนตามกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 77 หาก คสช. มีอำนาจสั่งการได้ กระบวนการต่างๆคงแล้วเสร็จได้เร็ว

แม้ พล.อ.ประยุทธ์จะไม่พูดชัดเจนว่าพร้อมจะเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป แต่การให้สัมภาษณ์หลังการประชุม ครม. วันที่ 9 มกราคมก็แบะท่าไม่ปฏิเสธการเป็น “นายกฯคนนอก” หากมีคนสนับสนุน โดยกล่าวว่า “วันนี้ต้องเป็นคนของประชาชนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามหรือจะเป็นอะไรที่ทุกคนอยากตั้งให้ ผมเป็นได้หมด วันนี้ผมทำหน้าที่เพื่อประชาชน และอยากจะบอกว่าไม่ว่าใครก็ตามที่มายืนอยู่ตรงนี้ จะมาด้วยวิธีใดก็ตาม ขอให้ดูเจตนารมณ์ความมุ่งมั่น ผมพยายามที่จะทำให้ประเทศไทยเกิดการเปลี่ยนแปลง”

ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็ออกมาประกาศว่าจะสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ตลอดไป แต่ปฏิเสธว่าตนเองไม่ใช่นักการเมือง แค่มาทำงานการเมือง เพราะไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ไม่คิดจะลงเลือกตั้ง และไม่คิดจะเปลี่ยนสถานะไปเป็นนักการเมืองด้วย

อย่าเอาคำพูดมาไล่ล่า

การประกาศตัวเป็นนักการเมืองพร้อมๆกับเสียงเตือนว่าจะมี “จุดจบ” เหมือนหัวหน้าคณะรัฐประหารที่พยายามสืบทอดอำนาจและอยู่ให้นานที่สุด ไม่ว่าจะเป็นจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ต้องลี้ภัยและเสียชีวิตในต่างประเทศ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เสียชีวิตคาเก้าอี้ จอมพลถนอม กิตติขจร ถูกประชาชนขับไล่ และ พล.อ.สุจินดา คราประยูร อ้างว่า “ยอมเสียสัตย์เพื่อชาติ” ทั้งที่ประกาศว่าจะไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จนเกิดการชุมนุมและขับไล่จนต้องยอมลาออก มีเพียงคนเดียวที่ลงจากอำนาจอย่างสง่างามคือ พระยาพหลพลพยุหเสนา

พล.อ.ประยุทธ์ถือเป็นหัวหน้าคณะรัฐประหารคนที่ 5 ที่มารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและย้ำมาตลอดว่าไม่อยากเป็นนายกรัฐมนตรี ขณะที่คำพูดและสถานการณ์ขณะนี้กลับสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง แต่ดูเหมือน พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้ให้ความสนใจ และยังตำหนิพวกที่ออกมาต่อต้าน “นายกฯคนนอก” ว่าอาจจะเป็นตนหรือใครก็ตาม แต่ก็มาตามขั้นตอนการคัดเลือกที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ ขอให้ดูที่เจตนาและความมุ่งมั่นว่าจะมาแก้ปัญหาชาติบ้านเมืองหรือไม่ ซึ่งวันนี้ตนเองกลับตกเป็นเป้าคนเดียว

พล.อ.ประยุทธ์ประกาศว่าไม่กลัวที่จะถูกขับไล่ อย่าเอาคำพูดมาไล่ตน “วันหน้าผมไม่ได้เป็นนายกฯ ผมก็ยังอยู่กับท่านอยู่ดี เพราะนี่เป็นดินแดนประเทศไทย จะมาบอกว่าไม่เป็นนายกฯแล้วอยู่ไม่ได้ กฎหมายว่าอย่างไร ผมผิดกฎหมายตรงไหน ใครจะมาฆ่าฟันตรงไหน ก็ลองมาก็แล้วกัน ไม่ได้ท้าทาย แต่พูดให้ฟังเฉยๆ เพราะท่านเอาคำพูดเหล่านี้มาไล่ล่าผม มันถูกต้องหรือไม่ มาข่มขู่หรือไม่”

พล.อ.ประยุทธ์ยังขอร้องว่า อย่าขยายความหรือสนับสนุนคนที่ทำลายศักดิ์ศรีประเทศไทย ปีนี้ปีจอ เป็นปีหมา เพราะฉะนั้นเราต้องมีชีวิตอยู่ในปีนี้ด้วยความสงบเงียบ เป็นหมาที่ไม่ดุ หมาที่ใจดี หมาคือสุนัข และถือเป็นสัตว์ที่ซื่อสัตย์กับมนุษย์ที่สุด ดังนั้น ใครจะมาว่าตนดวงตกดวงแตก มันอยู่ที่การกระทำของเราเอง ถ้าดวงไม่ดีแต่ใจเราดีเสียอย่าง มันต้องฟันฝ่าไปได้ อุปสรรคคือกำลังใจ บทเรียน คิดอย่างนี้ถึงอยู่มาได้ถึงทุกวันนี้

“พอผมเป็นทหารก็บอกว่าผมเป็นนักการเมือง พอผมบอกว่าผมเป็นนักการเมืองก็มาบอกว่าผมเป็นทหาร ผมก็งงไปหมดแล้ว ผมอาจไม่ใช่นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง แต่ถ้าจะเรียกผมว่านักการเมืองก็ได้ เข้าใจตัวตนผมบ้างนะ”

พล.อ.ประยุทธ์ยังวิจารณ์สื่อเป็นรายฉบับและว่าตนถูกสร้างภาพว่าเป็นทหาร พูดเรื่องพรรคทหาร พูดว่ารัฐบาลทหาร ทั้งที่ไม่ได้มีทหารทั้งหมด แต่เป็นรัฐบาลแบบตนเอง “ผมเคยเอาใครไปลงโทษมั้ย ผมจะอยู่อีกกี่ปีไม่รู้ 1-2-3 ปีแล้วแต่ประชาชน”

บีบีซีขุดคำพูด “ประยุทธ์” 9 ครั้งยืนยันไม่ใช่นักการเมือง

คำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ที่ยอมรับว่าวันนี้เป็นนักการเมืองนั้น สำนักข่าวบีบีซีไทยระบุว่า มีอย่างน้อย 9 ครั้งที่ พล.อ.ประยุทธ์ปฏิเสธว่า “ไม่ใช่นักการเมือง” ก่อนจะ “เปลี๊ยน..ไป๋” ในวันนี้คือ

3 ธันวาคม 2557 “สื่อมวลชนกับนักการเมืองเป็นศัตรูกัน แต่ผมไม่ใช่นักการเมือง เป็นนักการทหาร ถึงเป็นนายกฯก็เข้ามาทำเพื่อคนไทย” พล.อ.ประยุทธ์นัดพูดคุยกับผู้บริหารสื่อหนังสือพิมพ์ 16 ฉบับ ที่สโมสรราชพฤกษ์นอร์ธปาร์ค ถนนวิภาวดีรังสิต เพื่อชี้แจงการทำงานของรัฐบาล 6 เดือนหลังรัฐประหาร และประกาศ คสช. ฉบับที่ 97 กับ 103 ที่ “กดทับการทำหน้าที่สื่อ”

24 กุมภาพันธ์ 2558 “ผมไม่ได้มาจากการเมือง ไม่ใช่นักการเมือง ผมมาในช่วงวิกฤตด้วยวิธีพิเศษบวกปรกติ” พล.อ.ประยุทธ์แถลงหลังการประชุมร่วม ครม. และ คสช. ยืนยันเดินหน้าตามโรดแม็พ

3 กันยายน 2558 “มีคนบอกว่าผมเป็นนักการเมืองแล้ว ยืนยันว่าไม่ใช่ ผมยังเป็นนักการทหาร เพียงแต่เข้ามาทำหน้าที่นักการเมืองบริหารงานของภาครัฐเท่านั้น” พล.อ.ประยุทธ์พูดระหว่างเป็นประธานการรับฟังการแถลงยุทธศาสตร์ชาติ-ยุทธศาสตร์ทหาร พ.ศ. 2559-2563 ของนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 57

8 กันยายน 2558 “ผมไม่ใช่นักการเมืองที่ต้องอยู่ให้นานเพื่ออำนาจ ผมเคยบอกหลายครั้งแล้วเรื่องนี้ ผมชินกับการใช้อำนาจมาเยอะแล้ว เป็นผู้บังคับบัญชาทหาร” พล.อ.ประยุทธ์กล่าวหลังสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) คว่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เมื่อวันที่ 6 กันยายน โดยยืนยันว่าไม่มี “ใบสั่ง คสช.” เพื่อหวัง “ยืดโรดแม็พ” หรือ “สืบทอดอำนาจ” ทั้งยืนยันว่าโรดแม็พจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ 6-4-6-4 รวมเวลา 20 เดือน และจะคืนประชาธิปไตยให้ประเทศ (แต่ก็ไม่เป็นไปตามที่พูด)

18 มกราคม 2559 “บ้านใครนะ ผมไม่ใช่นักการเมือง” พล.อ.ประยุทธ์ไม่พอใจสื่อมวลชนที่ถามว่าจะเปิดบ้านให้อวยพรเนื่องในวันขึ้นปีใหม่หรือไม่

22 สิงหาคม 2559 “ผมเป็นผู้ใหญ่และเป็นทหาร เลยขี้โมโหไปหน่อย ผมไม่ใช่นักการเมือง อย่าหวังว่าผมจะพูดเพราะ พูดเพราะแล้วโกหก ผมไม่ทำ” พล.อ.ประยุทธ์ขอร้องสื่อมวลชนให้ลดการนำเสนอข่าวที่สร้างความขัดแย้งในสังคม พร้อมตัดพ้อว่ารัฐบาลชุดนี้ทำอะไรก็ผิดไปหมด ทั้งข้องใจที่สนใจแต่เรื่องนายกฯคนนอก

15 พฤศจิกายน 2559 “บางอย่างผมไม่ใช่นักการเมือง เวลาพูดอะไรก็จะพูดไปตามความเชื่อในหลักการและข้อเท็จจริงตามกฎหมาย” พล.อ.ประยุทธ์ย้อนผู้สื่อข่าวที่ถูกนำไปเปรียบเทียบกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ว่ามีพฤติกรรมคล้ายคลึงกัน

28 พฤศจิกายน 2560 “ผมไม่ได้มองหรือดีลการเมืองกับใคร เพราะผมไม่ใช่นักการเมือง ผมไม่ดีลกับใครทั้งสิ้น” พล.อ.ประยุทธ์ปฏิเสธว่ามี “ดีลพิเศษ” กับพรรคขนาดกลาง หลังจากมีชื่อนายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ อดีตรัฐมนตรีจากพรรคชาติไทย ร่วมรัฐบาล “ประยุทธ์ 5”

28 พฤศจิกายน 2560 “ผมเป็นนายกฯที่ไม่เอาใจคน ผมไม่ใช่นักการเมือง ผมบริหารงานในแบบของผม ดูแลประชาชนโดยไม่เลือกว่าใครสนับสนุนผม” พล.อ.ประยุทธ์กล่าวระหว่างพบปะประชาชนที่หอประชุมอเนกประสงค์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย หลังการประชุม ครม.สัญจรที่สงขลา

โรดแม็พยืดได้แต่หดไม่ได้

ไม่ใช่แค่คำพูดยอมรับว่า “เป็นนักการเมือง” ที่เปลี่ยนไปเท่านั้น แม้แต่เรื่องใหญ่อย่าง “โรดแม็พ” รัฐบาลและ คสช. ยังไม่เคยรักษาสัญญา อ้างเหตุผลสารพัดเพื่อพยายามยืดหรือเลื่อนการเลือกตั้งออกไป ไม่ใช่เร่งให้เร็วขึ้น คือ “ยืดได้ แต่หดไม่ได้”

กุมภาพันธ์ 2558 พล.อ.ประยุทธ์ระบุว่ามีแผนจัดให้มีการเลือกตั้งปลายปี 2558 หรือต้นปี 2559 หลังหารือกับนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น

มิถุนายน 2558 นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี อธิบายขั้นตอนทางกฎหมายคาดว่าจะจัดเลือกตั้งได้เดือนสิงหาคม 2559

กันยายน 2558 สปช. โหวตคว่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายบวรศักดิ์ ทำให้โรดแม็พต้องเลื่อนออกไป โดย พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์หลังหารือทวิภาคีกับเลขาธิการสหประชาชาติว่า จะจัดการเลือกตั้งได้กลางปี 2560

ตุลาคม 2558 คสช. แต่งตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญโดยนายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธาน พร้อมเปิดสูตร 6-4-6-4 ระบุว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นภายใน 20 เดือน คือระหว่างเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม 2560

สิงหาคม 2559 รัฐธรรมนูญผ่านประชามติ แต่รัฐบาล คสช. ประกาศจะมีการเลือกตั้งได้ปลายปี 2560 หรือต้นปี 2561 อ้างขั้นตอนตามกฎหมายทำให้ต้องเลื่อนโรดแม็พ

เมษายน 2560 รัฐบาล คสช. ประกาศเลื่อนโรดแม็พอีก โดยคาดว่าจะมีการเลือกตั้งได้ปลายปี 2560 หรือต้นปี 2561 ด้วยสารพัดขั้นตอนตามกฎหมาย ถือเป็นการเลื่อนโรดแม็พอีกครั้ง

ตุลาคม 2560 พล.อ.ประยุทธ์ประกาศจะจัดการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน 2561 หลังกลับจากการหารือกับประธานาธิบดีสหรัฐ

วันนี้หลายฝ่ายก็ยังไม่เชื่อว่าจะมีการเลือกตั้งได้ ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ประกาศว่า วันนี้ตนเป็นนักการเมือง ไม่ใช่ทหาร และพร้อมจะเป็นอะไรก็ได้หากประชาชนสนับสนุน คือไม่ปฏิเสธที่จะเป็น “นายกฯคนนอก” นั่นเอง

คนกันเองรุมกระหน่ำ

ประเด็นที่น่าสนใจไม่ใช่คำพูดและคำสัญญาของ พล.อ.ประยุทธ์ที่ไม่เป็นไปตามที่พูดหรือสัญญาเท่านั้น แต่การแก้ปัญหาบ้านเมืองเกือบ 4 ปีก็ทำให้หลายฝ่ายออกมาวิพากษ์วิจารณ์และเรียกร้องให้ลงจากอำนาจได้แล้วแม้แต่ฝ่ายที่เคยสนับสนุนรัฐประหาร

ล่าสุดนายเขียน ธีระวิทย์ นักวิชาการรัฐศาสตร์ที่สนับสนุนรัฐประหารและ พล.อ.ประยุทธ์ ส่ง ส.ค.ส.เปิดผนึกถึง พล.อ.ประยุทธ์ (8 มกราคม 2561) โดยระบุว่า “วันนี้ผมศรัทธาลดลงมาก อยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ใช้เวลาสัก 4 นาที นั่งสงบสติอารมณ์สำรวจว่า 4 ปีที่ผ่านมาทำรัฐประหารเพื่อต้องการอำนาจหรือเพื่อแก้ไขปัญหาของชาติ? ทำงานเพื่อประโยชน์ของประชาชนหรือพรรคพวก? การปฏิรูปประเทศล้มเหลวมาตลอด เพราะใช้คนไม่ถูกกับงาน หรือเพราะต้องการอยู่ในอำนาจยาวนานเพื่อปฏิรูปให้เสร็จก่อน? นโยบายปราบคอร์รัปชันจะไปรอดไหมถ้าปล่อยให้คนสำคัญในรัฐบาลเป็นหนอนบ่อนไส้? และถ้ายังเป็นผู้นำรัฐบาลที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จและต้องรักษากฎเกณฑ์การเลือกตั้ง แต่กลับเป็นคู่แข่งที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีด้วย ประชาชนและชาวโลกจะมองอย่างไร”

นายเขียนยังติงเรื่องซื้อสุนัขบางแก้ว 3 ตัวว่า พล.อ.ประยุทธ์อาจลืมตัวว่ามิใช่สามัญชนคนธรรมดาแล้ว โชคดีที่นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย โวยดังๆจึงไม่ถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย แต่ก็ผิดหวังกรณีข่าวอื้อฉาวเรื่องนาฬิกาหรูของ พล.อ.ประวิตร แทนที่ พล.อ.ประยุทธ์จะขอโทษประชาชนและฉวยโอกาสโฆษณานโยบายปราบคอร์รัปชัน โดยประกาศต่อสาธารณชนและขอบคุณนายศรีสุวรรณที่ไปร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. ว่าเป็นพลเมืองดี เป็นยามเฝ้าแผ่นดินที่ควรยึดถือเป็นตัวอย่าง เช่นเดียวกับช่างภาพที่ถ่ายภาพนาฬิกาหรูและแหวนเพชรเม็ดโตของ พล.อ.ประวิตรไปเผยแพร่ก็ควรได้รับการยกย่องด้วย

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ปี 2561 ถือเป็นปีสุดท้ายตามโรดแม็พที่ คสช. กำหนดว่าจะมีการเลือกตั้งปลายปี 2561 ยกเว้นแต่จะคว่ำกฎหมาย จึงอยากให้ คสช. ทบทวนตัวเองว่าตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ที่บอกคนไทยว่าจะเข้ามาทำอะไรบ้างและจะปฏิรูปให้บ้านเมืองมีความยั่งยืน จะคืนความสุขให้กับประชาชนโดยขอเวลาอีกไม่นานนั้น ปีสุดท้ายแล้วทำอะไรสำเร็จบ้าง ขอให้บอกประชาชนอย่างตรงไปตรงมา ถ้าทำไม่สำเร็จ คสช. ก็ต้องรับผิดชอบ อย่าหยิบขึ้นมาเป็นแค่วาทกรรม ต้องเป็นรูปธรรม เพราะคนไทยอยากเห็นการกลับคืนสู่ภาวะปรกติ ไม่กลับไปสู่ปัญหาเดิมๆที่มีการใช้อำนาจไม่ถูกต้องและไม่ชอบธรรม

ขณะที่ก่อนหน้านี้ นายไทกร พลสุวรรณ คณะเสนาธิการร่วมกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณและแนวร่วม กปปส. ออกมาขอโทษประชาชน แสดงความเสียใจที่เคยแถลงข่าวสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯว่า ไม่รู้ว่าธาตุแท้จะเป็นเช่นนี้

แต่ที่ฮากว่าใครทั้งหมดก็คือ นายไพศาล พืชมงคล ที่ปรึกษา พล.อ.ประวิตร ที่ออกมาเรียกร้องทั้งเหลืองทั้งแดงว่า “เลิกแบ่งสีแบ่งพวกเถิดพี่น้องทั้งหลาย จงสามัคคีกันเพื่อประเทศชาติและอนาคตของพวกเราและลูกหลานสืบไป”

อำนาจชวนให้โกงกิน

ปฏิกิริยาของคนที่เคยสนับสนุนรัฐประหารและ พล.อ.ประยุทธ์ถือเป็นสัญญาณที่ไม่ปรกติ และสะท้อนชัดเจนถึงความล้มเหลวของรัฐบาล คสช. และวิกฤตศรัทธาในตัว พล.อ.ประยุทธ์ โดยเฉพาะผลประโยน์ของพวกพ้อง สอดคล้องกับที่ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ กล่าวตอนหนึ่งในคอลัมน์ “ประสงค์พูด” (5 มกราคม 2561) ว่า “อำนาจชวนให้โกงกิน ถ้าอำนาจล้นแผ่นดินก็จะโกงกินกันจนสิ้นชาติ”

อยากนำมาฝากผู้ใช้อำนาจทั้งหลายที่มีอยู่ในมือ โดยเฉพาะคนที่กำลังใช้อำนาจอย่างไม่ลืมหูลืมตาในบ้านเมืองขณะนี้ การทำรัฐประหารต้องวางน้ำหนักการทำงานอยู่ที่เรื่องของ “บ้านเมือง” ให้ดีที่สุด อย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับ “การเมือง” เพื่อแสวงหาอำนาจให้กับตนเองหรือพรรคพวก หรือคิดอ่านวางแผนสืบทอดอำนาจต่อไปให้ยาวที่สุดเท่าที่จะยาวได้ ถ้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการแสวงหาอำนาจเมื่อไร เมื่อนั้นจะตกอยู่ในสภาพของการ “ตั้งไข่ล้มต้มไข่กิน” ซึ่งจะตามมาด้วย “ไข่ตกดินก็อดหมดฝีมือ”

การสร้างบ้านสร้างเมืองต้องรู้จักเลือก “คนดีมีความรู้ตรงกับงานในหน้าที่” เข้ามาทำ การนำคนที่ไม่ได้คัดสรรกลั่นกรองให้ดี สักแต่ว่าเป็นพวกเดียวกัน เป็นคนรุ่นเดียวกัน จากสถานศึกษาเดียวกัน เป็นรุ่นพี่รุ่นน้อง โดยไม่คำนึงถึงความรู้และประสบการณ์ในการทำงานให้ตรงกับหน้าที่การงานที่จะมอบหมายให้ทำ โดยเฉพาะประวัติความเป็นมาเรื่องความประพฤติของบุคคลนั้นๆเป็นอย่างไร เป็นคนที่ไม่มีมลทินมัวหมองในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตอย่างใดหรือไม่ จะมีผลต่อความเชื่อถือศรัทธาของประชาชนทั้งสิ้น ไม่ผิดอะไรกับวงดนตรีที่ผู้เล่นดนตรีแต่ละชิ้นเล่นเข้าขากันไม่ได้ นอกจากไม่ไพเราะแล้ว ยังหนวกหูน่ารำคาญอีกด้วย

น.ต.ประสงค์ยังทิ้งท้ายว่า 3 ปีกว่าที่ผ่านมาในการทำงานของวงดนตรีวงนี้เป็นอย่างไรนั้น ผู้คนส่วนใหญ่ในบ้านเมืองรู้ดีว่าอยากจะฟังต่อ หรือกำลังหนวกหูไม่อยากฟัง

เช่นเดียวกับนายอัษฎางค์ ปาณิกบุตร นักวิชาการรัฐศาสตร์ ให้สัมภาษณ์มติชนทีวีว่า พล.อ.ประยุทธ์ตลอด 3 ปีดีแค่พูด มีอะไรที่เป็นเรื่องเด่นบ้าง เมื่อก่อนตนก็ชอบที่จะมีการปฏิรูปที่ดิน แต่ก็เป็นมวยล้ม จะเก็บภาษีทรัพย์สินก็เป็นมวยล้ม สิ่งที่จะทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติกลับไม่ทำ ซึ่งทั้ง 2 เรื่องเป็นคุณประโยชน์ของบ้านเมือง โดยเฉพาะภาษีทรัพย์สินที่เก็บจากคนรวยไม่กี่เปอร์เซ็นต์กลับกลัวและไม่ทำ พอถึงเวลาจนตรอกก็เอาเงินไปแจกประชาชนให้ซื้อของเจ้าสัว

ซ้ำร้ายยังมีพฤติกรรมที่เสียหายอีก ทั้งที่ประกาศตลอดเวลาว่าเป็นคนดี แต่มันดีตรงไหน ทุกครั้งที่ยกขบวนไปเมืองนอกและอ้างว่าจะขายความสวยงามประเทศ ไม่ต้องขายหรอก ประเทศไทยมีของดีอยู่แล้ว เพียงแต่ส่งเสริมให้ถูกทางเท่านั้น 4 ปีกว่าจะมีรัฐบาลปีหน้ายังไม่เห็นฝั่งเลย คุณก็เลยกลัวว่าตัวเองจะเอาอะไรไปโชว์เมื่อลงจากหลังเสือ ความเชื่อมั่นต้องเกิดจากการกระทำ ไม่ช้าไม่สาย เหลือเวลาอีกเกือบ 10 เดือนหรือ 1 ปีกว่าจะเลือกตั้ง คุณใช้เวลาปกครองประเทศมา 4 ปีกว่า คำถามคือคุณทิ้งอะไรไว้ให้ประชาชนนึกถึงบ้าง

ของเล่นวันเด็กของผู้ใหญ่

สถานการณ์โดยรวมของรัฐบาล คสช. และ พล.อ.ประยุทธ์วันนี้แตกต่างสิ้นเชิงกับเมื่อรัฐประหารใหม่ๆที่เต็มไปด้วยเสียงสนับสนุน ไม่ใช่เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ประกาศว่าเป็น “นักการเมือง” ไม่ใช่ “ทหาร” หรือ “รัฐบาลทหาร” แต่อยู่ที่ผลงานที่ผ่านมาว่าทำตามสัญญากับประชาชนหรือไม่ ขอเวลาไม่นานจะคืนความสุขให้ประเทศไทย ให้คนไทย แต่เวลานานเกือบ 4 ปีได้ทำอะไรสำเร็จเป็นรูปธรรมบ้าง? ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความปรองดอง ซึ่งเห็นชัดว่าล้มเหลว การปฏิรูปประเทศก็เป็นได้แค่วาทกรรม การแก้ปัญหาเศรษฐกิจก็ดีแต่พูด แม้แต่การปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์เพิ่งประกาศในวันต่อต้านคอร์รัปชันสากลว่าจะไม่ทนต่อการทุจริตคอร์รัปชัน ทั้งยังให้เป็นวาระแห่งชาติและแทรกไว้ในการปฏิรูปทุกด้าน แต่กว่า 3 ปีที่ผ่านมากลับเต็มไปด้วยข่าวการทุจริตคอร์รัปชันทั้งในส่วนราชการและการจัดซื้อจัดจ้างในกองทัพ โดยเฉพาะพฤติกรรมของคนใกล้ชิด ซึ่งเกือบทุกเรื่องที่เป็นข่าวถ้าไม่เงียบหายไปก็ออกมาในลักษณะเดียวกันว่า “ไม่ผิด” แบบมีตำหนิและค้านสายตาคนจำนวนมาก

จึงไม่แปลกที่ข่าวอย่าง “แหวนเพชรและนาฬิกาหรู” ของ พล.อ.ประวิตรจะถูกจัดให้เป็นข่าวดังข้ามปี ซึ่งล่าสุดเพจ CSI LA ที่เกาะติดชนิดไม่ปล่อย ได้ขุดภาพนาฬิกาจนมาถึงเรือนที่ 18 เป็นยี่ห้อ Patek Philippe รุ่น 5135R Calendario Annual Calendar ทำจากทองคำ Rose Gold สายหนังจระเข้สีน้ำตาล ราคาประมาณ 1.5 ล้านบาท เป็นภาพถ่ายเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2559 ในงานพิธีถวายน้ำสรงพระพุทธบาทสี่รอย อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ และดูเหมือนจะยังไม่จบเพียงเท่านี้

นาฬิกาข้อมือหรูจำนวนมากมายจะมีผลสรุปออกมาอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับ ป.ป.ช. ที่จะชี้มูลออกมาอย่างไร แต่ที่แน่ๆความศรัทธาที่มีต่อองค์กรอิสระที่มีหน้าที่สำคัญอย่าง ป.ป.ช. นั้น จะสูงขึ้นหรือลดลงก็อยู่ที่ผลของคดีนี้เช่นกัน หรือบางทีอาจจบลงง่ายๆในโอกาสวันเด็กว่าเป็นเพียงแค่นาฬิกาของเด็กเล่นก็ได้ใครจะรู้!

สุขสันต์วันเด็ก (เลี้ยงแกะ)

วันเด็กแห่งชาติปีนี้คึกคักเป็นพิเศษ เพราะ 3 เหล่าทัพคือ กองทัพบก กองทัพอากาศ และกองทัพเรือ ได้จัดกิจกรรมด้วยการนำอาวุธสงครามและยุทโธปกรณ์มาให้เด็กได้สัมผัส โดยเฉพาะกองทัพบกที่ปีนี้จัดงานใหญ่ที่กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ สนามเป้า ไม่ใช่แค่นำรถถังที่เคยใช้รัฐประหารมาโชว์เท่านั้น แต่ยังมีรถถังที่ซื้อใหม่เอี่ยมจากจีนคือ รถถัง VT4 รถถัง Oplot ของยูเครน ยานเกราะล้อยาง BTR–3E1 จากยูเครน และรถหุ้มเกราะล้อยาง Reva จากแอฟริกาใต้ มาโชว์อีกด้วย

แม้กองทัพเรือไม่มีเรือดำน้ำที่สั่งซื้อจากจีนมาโชว์ในปีนี้ แต่ก็มีการจัดทริปพิเศษก่อนวันเด็ก 1 วัน ด้วยการพาขึ้นเรือจากป้อมพระจุลจอมเกล้าไปโรงเรียนนายเรือ

ขณะที่กองทัพอากาศที่เด็กจำนวนไม่น้อยฝันอยากจะเป็นนักบิน จัดกิจกรรมที่ฝูงบิน 601 กองบิน 6 ดอนเมือง เปิดให้ชมพิพิธภัณฑ์ ทอ. และยังมีการบินโชว์เครื่องบิน Gripen, AU-23, F16 และ ฮ. EC725 ในวันเด็กอีกด้วย

ส่วนที่ทำเนียบรัฐบาล ที่ทำงานของนายกรัฐมนตรีของไทยที่มาจากการยึดอำนาจและประกาศตัวว่า “เป็นนักการเมือง แต่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง” ได้ให้คำขวัญวันเด็กแห่งชาติว่า “รู้คิด รู้เท่าทัน สร้างสรรค์เทคโนโลยี” นั้น ปรากฏว่าปีนี้ไม่มีไดโนเสาร์มาแสดง แต่มีหุ่นยนต์ยุค 4.0 มาโชว์แทน แต่ที่ได้รับความสนใจมากกว่าหุ่นยนต์ 4.0 คงหนีไม่พ้นหุ่นป้าย “ตู่ใจดีปีหมาไม่ดุ” ขนาดเท่าตัวจริง ซึ่งมีมากมายหลายแบบในชุดและอิริยาบถต่างๆให้เด็กๆถ่ายรูปคู่เป็นที่ระลึก

น่าเสียดายที่ไม่มีหุ่น “พี่ใหญ่” คนดังข้ามปีที่สวมแหวนเพชรและนาฬิกาหรูมาโชว์ด้วย แต่ในโซเชียลมีเดียก็มีคำขวัญเหน็บแนมหยอกแรงๆ แสบๆคันๆว่า “เด็กฉลาด ชาติพัฒนา แหวนของมารดา นาฬิกายืมเพื่อน”

วันเด็กแห่งชาติปีนี้จึงย้อนแย้งยิ่งนักจากอาวุธสงคราม รถถัง เครื่องบิน เรือดำน้ำ ซึ่งมักจะมีโมเดลชิ้นเล็กๆเอาไว้เป็นของเด็กเล่นช่างฝัน แต่กลับกลายเป็นอาวุธสงครามของจริง ใช้งบประมาณที่มาจากภาษีประชาชนจริงๆ และกลายมาเป็นของเล่นของผู้ใหญ่เสียเอง

“เด็กวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันหน้า” ส่วนของเล่นที่จะมาโชว์เด็กในวันหน้าอย่างเช่นเรือดำน้ำก็คือของเล่นของผู้ใหญ่ในวันนี้

สังคมไทยต่อต้านความรุนแรง เซ็นเซอร์สื่อทุกอย่าง แต่กลับนำอาวุธสงครามมาแสดงให้เด็กๆได้ชื่นชมในวันเด็ก

ที่ขาดไม่ได้คือ การให้เด็กได้มีโอกาสทดลองนั่ง “เก้าอี้นายกรัฐมนตรี” จากนายกรัฐมนตรีที่เพิ่งยอมรับว่าตนเองเป็นนักการเมืองจากการยึดอำนาจ ล้มรัฐบาลที่ประชาชนเขาเลือกตั้งเข้ามา

สังคมไทยดัดจริตย้อนแย้งยากที่จะมีสังคมประเทศอื่นใดมาเสมอเหมือนได้

สุขสันต์วันเด็ก (เลี้ยงแกะ)!!??


You must be logged in to post a comment Login