วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2567

‘คนไทย’คนดีมีน้ำใจ / โดย น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ

On December 21, 2017

คอลัมน์ : โดนไป บ่นไป
ผู้เขียน : ..อนุดิษฐ์ นาครทรรพ

เมื่อวันจันทร์ที่ 18 ธันวาคมที่ผ่านมา ผมกับภรรยามีโอกาสพาลูกๆหมายเลข 3 ถึงหมายเลข 6 ทั้งหมด 4 คนไปเที่ยวสวนสัตว์ดุสิต เพราะเจ้าตัวเล็กคนสุดท้องคือ “เจ้าขวัญ” อายุแค่ 3 ขวบ รบเร้าตั้งแต่เช้าว่าอยากไปเที่ยวเขาดิน ด้วยเหตุผลที่ว่าเธอไปเห็นรูปถ่ายที่ระลึกที่ผมกับภรรยาถ่ายไว้กับพี่ๆ แต่ในรูปไม่มีเธอ จึงร่ำร้องอยากจะไปเที่ยวเพราะต้องการมีรูปเหมือนพี่ๆบ้าง

เดิมผมกับภรรยาต้องเดินทางไปอำเภอกำแพงแสนเพื่อไปเชียร์ “เจ้าหญิง” ลูกสาวคนที่ 2 ที่ไปแข่งขันกีฬาสาธิตสามัคคีครั้งที่ 42 หรือ “อินทนิลเกมส์” ปีนี้โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์วิทยาเขตกำแพงแสนเป็นเจ้าภาพตั้งแต่วันที่ 18-24 ธันวาคม แต่สุดท้ายก็ทนเสียงอ้อนของ “เจ้าขวัญ” ไม่ได้จึงเปลี่ยนแผนพาทุกคนไปเที่ยวเขาดินแทน เพราะยังมีเวลาไปเยี่ยม “เจ้าหญิง” ได้อีกหลายวัน

ผมออกจากบ้านตอน 11 โมงเศษๆขับรถมาตามทางด่วนขั้นที่ 2 มุ่งหน้าไปลง “ยมราช” ระหว่างทางก็คิดไปเรื่อยเปื่อยว่า นี่ก็เกือบเที่ยงแล้ว แต่การจราจรบนทางด่วนยังหนาแน่น เนื่องจากเป็นวันสบายๆกับลูกๆ ผมเลยไม่ได้ “บ่น” ออกเสียงให้ใครฟัง นอกจากคิดในใจว่าวันที่ลูกๆผมมีโอกาสขับรถพาลูกๆของตัวเองไปเที่ยวบ้างในอนาคต ภาพการจราจรติดขัดที่ผมคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็กจะยังเกิดในสมัยพวกเขาหรือไม่!

จากหัวหมากถึงเขาดินใช้เวลาเกือบชั่วโมง ถือว่าโอเค ผมไม่ได้พาลูกๆมาเที่ยวที่นี่นานพอสมควร พอเลี้ยวเข้าอาคารจอดรถตรงข้ามรัฐสภาก็เจอป้อมไม้กั้นเพื่อรับบัตรจอดรถอิเล็กทรอนิกส์เหมือนกับศูนย์การค้า ซึ่งครั้งสุดท้ายที่ผมมายังไม่มี ถือเป็นเรื่องที่ทันสมัยและมีมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยให้กับยานพาหนะต่างๆได้เป็นอย่างดี เพราะขาออกต้องหยุดที่ป้อมไม้กั้นเพื่อคืนบัตรและชำระค่าจอดรถคันละ 50 บาท เพื่อเปิดไม้กั้นและนำรถออกไป

เชื่อไหมครับว่าขนาดวันจันทร์นักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศยังมาเขาดินเป็นจำนวนไม่น้อยทีเดียว กว่าผมจะหาที่จอดรถได้ก็ต้องวนขึ้นไปบนอาคารจอดรถชั้นสูงสุด ส่วนลานจอดรถด้านล่างมีรถทัวร์ที่นำนักเรียนจากต่างจังหวัดมาทัศนศึกษาจอดอยู่หลายสิบคัน ผมชอบระบบการจัดการของเขาดินเพราะมีเจ้าหน้าที่คอยรับผิดชอบดูแลให้ทุกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

จอดรถเสร็จพ่อแม่ลูกทั้ง 6 คนก็เดินลงมาที่ห้องขายบัตร เจ้าหน้าที่ถามผมว่ามากันกี่คน ผมเลยแจ้งไปว่าผู้ใหญ่ 2 เด็ก 4 แต่น้องที่ห้องตั๋วเห็นผมจูง “เจ้าขวัญ” มาด้วยเลยตอบกลับมาว่า “คิดเฉพาะเด็กโต 3 คนนะคะ แต่น้องตัวเล็กคนนี้เข้าฟรี” สรุปผมจ่ายค่าตั๋วไปแค่ 260 บาท (ผู้ใหญ่ 100 เด็ก 20) เพราะเขาไม่คิดสตางค์ “ขวัญน้อย” ของผม

พอเข้ามาในเขาดิน “เจ้าขวัญ” ดูตื่นเต้นมาก ผมตัดสินใจเริ่มการชมสวนสัตว์ด้วยการวนไปทางด้านขวา ซึ่งจะพบสัตว์ที่มาจากทวีปออสเตรเลียก่อน ดู “หมีโคอาลา” ต่อด้วย “เจ้าวอมแบท” ซึ่งเป็นสัตว์จอมขุด จากนั้นเดินมาที่กรงนกใหญ่เพื่อให้เด็กๆดู “เจ้านกกระทุงปากบิด” ซึ่งมีชื่อเสียงอยู่ไม่น้อย แม้จะเกิดมาพิการแต่ได้รับการดูแลและการฝึกจากเจ้าหน้าที่สวนสัตว์ที่เอาใจใส่เป็นอย่างดี จนกระทั่งมันสามารถดำรงชีวิตตามปรกติเหมือนเพื่อนนกตัวอื่นๆ

จากนั้นก็เดินผ่านบริเวณเลี้ยงช้างและเดินตัดออกมาทางซ้ายเพื่อข้ามสะพานมาบ่อหมี ก่อนข้ามสะพานตรงจุดนี้เป็นที่รู้กันของลูกๆว่าต้องแวะซื้อขนมปังป้อนปลาเสียก่อน ปลาที่ขึ้นมากินขนมปังส่วนใหญ่เป็นปลาตะเพียนขนาดใหญ่ แต่ยังพอเห็นปลาสวายตัวบิ๊กๆลอยขึ้นมาให้เห็นบ้าง โยนขนมปังให้ปลาอยู่ดีๆหันไปอีกทีก็เห็น “เจ้าขวัญ” เดินไปโยนขนมปังเลี้ยงนกแทนซะแล้ว แป๊บเดียวรอบตัวๆก็มีแต่นกพิราบและอีกาตัวใหญ่อยู่เต็มไปหมด

ป้อนปลาป้อนนกเสร็จเราก็พา “เจ้าขวัญ” กับพี่ๆไปถ่ายรูปที่ระลึก ถ้าจำกันได้ตรงข้ามเยื้องๆกับบ่อหมีนี่แหละที่มีร้านถ่ายรูปที่ระลึก ซึ่งมีมาตั้งแต่ผมยังเป็นเด็กๆ ผมเดินเข้าไปคุยตกลงราคากับคุณลุงคุณป้าที่หน้าร้าน คุณป้าบอกว่าถ่ายรูปใส่กรอบสวยงามราคาแค่ 199 บาท พวกเราไม่รอช้ารีบเข้าไปถ่ายรูปทันที โดยมีคุณลุงเป็นตากล้อง อีก 5 นาทีต่อมาก็ได้รับรูปที่ระลึกใส่กรอบบรรจุในถุงหูหิ้วเรียบร้อย…เร็วและมีคุณภาพจริงๆ

ได้รูปถ่ายที่มี “เจ้าขวัญ” อยู่ในรูปแล้ว “ขวัญน้อย” ดูมีความสุขมาก ยิ้มแย้มแจ่มใสออดอ้อนฉอเลาะมาตลอดทาง แต่อีกครึ่งชั่วโมงต่อมาเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เพราะ “เจ้างาม” ลูกสาวคนรองสุดท้องหันมาบอกผมขณะที่เข้าไปชมสัตว์เลื้อยคลานต่างๆในอาคารจัดแสดงว่า เธอลืมโทรศัพท์เอาไว้ที่ร้านถ่ายรูป ผมกับภรรยาเลยรีบพาเด็กๆเดินกลับมาที่ร้านทันทีเพื่อถามหาโทรศัพท์

ผมเคยมีประสบการณ์แบบนี้ที่สิงคโปร์ คราวนั้นเป็นโทรศัพท์ของ “เจ้าหญิง” เธอแค่เข้าห้องน้ำและลืมไว้ พอเดินออกมาแป๊บเดียวก็นึกได้และรีบวิ่งกลับไปหา แต่โทรศัพท์ก็หายไปเรียบร้อยแล้ว ถามผู้รับผิดชอบก็ไม่ได้รับคำตอบว่าจะช่วยตามหาให้ได้อย่างไร สุดท้ายก็ได้แค่กรอกคำร้องเอาไว้

แต่โทรศัพท์หายครั้งนี้แตกต่างกับที่เคยเกิดขึ้นโดยสิ้นเชิง เรื่องที่เกิดขึ้นภายหลังจากนี้ทำให้ผมและภรรยาประทับใจมาก จนผมบอกกับภรรยาว่าสัปดาห์นี้ขอเล่าเรื่องนี้ให้ท่านผู้อ่านฟังดีกว่า เพราะพอพวกเราไปถึงร้านถ่ายรูป คุณไพโรจน์ซึ่งเป็นเจ้าของร้านพร้อมคุณลุงคุณป้าบอกว่าเจอโทรศัพท์ที่ “เจ้างาม” ลืมไว้แล้ว แต่เข้าใจว่าเป็นของนักเรียนที่มาทัศนศึกษาเลยฝากโทรศัพท์ให้กับคุณครูที่ดูแลนักเรียนไปแล้ว

ภรรยาผมจึงโทรศัพท์ไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ของสวนสัตว์ ซึ่งก็รีบตรวจสอบให้ทันทีว่าฝากโทรศัพท์ไปกับโรงเรียนไหน เพราะมีโรงเรียนเข้ามาทัศนศึกษาเป็นจำนวนมาก ใช้เวลาไม่นานก็ทราบว่าเป็นโรงเรียนอะไร แต่โชคไม่ดีเพราะรถของโรงเรียนเดินทางออกจากเขาดินไปแล้วและกำลังจะขึ้นทางด่วนเพื่อเดินทางกลับต่างจังหวัด

ต้องขอบคุณคุณครูจากโรงเรียนราชประชานุเคราะห์จันทบุรีเป็นอย่างมากที่ตัดสินใจให้รถทั้งหมดจอดเพื่อฝากโทรศัพท์ไว้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจของทางด่วน และผมต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ของสวนสัตว์อีก 3 ท่านที่นอกจากจะช่วยประสานงานให้แล้วยังช่วยขับมอเตอร์ไซค์ไปรับโทรศัพท์กลับมาให้ “เจ้างาม” อีกด้วย

ผมจำได้ว่าตอนที่ “เจ้างาม” รู้ว่าโทรศัพท์ไม่อยู่แล้ว น้ำตาของสาวน้อยไหลออกมาไม่หยุด แต่เพราะคุณลุงคุณป้า คุณไพโรจน์ และเจ้าหน้าที่เขาดิน 3 ท่านได้แก่ คุณปภาวี ถาวรรุ่งวรา ซึ่งอยู่ฝ่ายการศึกษาสวนสัตว์ดุสิต เป็นธุระประสานงานให้จนเจอโทรศัพท์ คุณอุเทน สุมณฑา ฝ่ายสัตว์เลื้อยคลานที่เป็นผู้ขับมอเตอร์ไซค์ และคุณจุฬารัตน์ กงแก้ว ฝ่ายการศึกษาสวนสัตว์ดุสิต นั่งซ้อนท้ายออกไปรับโทรศัพท์มาคืนให้ จนทำให้ “เจ้างาม” ยิ้มได้อีกครั้ง ซึ่งผมและครอบครัวคงไม่มีอะไรตอบแทนได้มากไปกว่าคำว่า “ขอบคุณมากครับ”

ผมเล่าเรื่องนี้ให้ฟังด้วยความชื่นชม และอยากชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยยังมีคนดีมีน้ำใจอยู่ในสังคมอีกมากมาย หากทุกฝ่าย “เลิกท้าตีท้าต่อย” และ “เลิกหากินกับความขัดแย้ง” ผมเชื่อว่าประเทศไทยจะเป็นประเทศที่ประชาชนมีความสุขมากที่สุดในโลกอย่างแน่นอน

d00

d01

d02


You must be logged in to post a comment Login